ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ผู้ก่อตั้งและผู้นำของบริษัท *สแตรทิจี(Strategy)* ได้เดินหน้าเข้าซื้อ *บิตคอยน์(BTC)* เพิ่มอีก 10,100 เหรียญ ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดจากความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์การเมืองในตะวันออกกลาง โดยดีลล่าสุดนี้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 39,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการซื้อครั้งใหญ่ครั้งที่สองในเดือนมิถุนายนนี้เพียงเดือนเดียว
ตามรายงานที่บริษัทส่งให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) บิตคอยน์ล็อตนี้ถูกซื้อในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 104,080 ดอลลาร์ต่อเหรียญ หรือราว 1.44 ล้านบาท/เหรียญ ในช่วงเวลาดังกล่าว ราคาของบิตคอยน์เคยพุ่งขึ้นใกล้ระดับ 110,000 ดอลลาร์ ก่อนจะปรับตัวลดลงมาแถว 103,639 ดอลลาร์ หลังมีข่าวเกี่ยวกับการโจมตีสถานีงานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยอิสราเอล เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา
การซื้อครั้งล่าสุดนี้ส่งผลให้ *สแตรทิจี* มีจำนวนบิตคอยน์สะสมอยู่ที่ 592,100 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 41.8 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.58 ล้านล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยต่อหน่วยในพอร์ตอยู่ที่ประมาณ 70,666 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ล้านบาทต่อเหรียญ ถือเป็นองค์กรที่ถือครองบิตคอยน์มากที่สุดในโลกในฐานะบริษัทเอกชน
นอกจากนี้ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ การประกาศซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทเพิ่งเปิดการซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิ์ที่อิงกับบิตคอยน์ภายใต้ชื่อ *STRD* บนตลาดแนสแด็ก เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยบริษัทได้ระดมทุนเพิ่มอีก 250 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8,700 ล้านบาท และมีแผนจะนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีก
นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่า ท่าทีนี้สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในอนาคตของบิตคอยน์ โดยเฉพาะในบริบทที่ *ประธานาธิบดีทรัมป์* มีแนวโน้มจะกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย ซึ่งเขาได้แสดงจุดยืนเป็นมิตรต่อคริปโตมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดเกิดความคาดหวังเกี่ยวกับการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล การเคลื่อนไหวของ *สแตรทิจี* ทั้งเรื่องการซื้อและออก STRD จึงอาจกลายเป็น ‘สัญญาณเชิงบวก’ สำหรับกระแสการลงทุนในคริปโตผ่านช่องทางที่อยู่ภายใต้กฎหมายในอนาคต
ความคิดเห็น 0