แอริโซนาเดินหน้าใช้คริปโตเสริมงบรัฐ ร่างกฎหมาย HB 2324 ผ่านด่านแรกสำเร็จ

รัฐสภารัฐแอริโซนา กลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาดคริปโตอีกครั้ง หลังวุฒิสภารัฐเพิ่งผ่านร่างกฎหมาย ‘กองทุนเงินสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล HB 2324’ ที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์(BTC) และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ด้วยคะแนนเสียงฉิวเฉียด ซึ่งขณะนี้ความสนใจทั้งหมดกำลังมุ่งไปที่การพิจารณาของสภาผู้แทน หากร่างกฎหมายนี้ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ รัฐแอริโซนาอาจกลายเป็นต้นแบบด้านการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลของภาครัฐก็เป็นได้

เนื้อหาหลักของร่างกฎหมาย HB 2324 คือการจัดตั้ง ‘กองทุนเงินสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล’ เพื่อให้รัฐสามารถจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกยึดจากคดีอาญาได้เป็นระบบมากขึ้น โดยรัฐจะสามารถเก็บรักษาคริปโตหรือขายออกผ่านแพลตฟอร์มที่กำหนดเพื่อแปลงเป็นเงินทุนใช้จ่ายในภาครัฐ ตามข้อกำหนดของร่างกฎหมาย รายได้จากการขายครั้งแรกจำนวน 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.17 ล้านบาท) จะถูกจัดสรรให้สำนักงานอัยการสูงสุดก่อน จากนั้นรายได้ส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งเป็น: 50% ให้สำนักงานอัยการ, 25% เข้ากองทุนทั่วไป และอีก 25% กลับคืนสู่กองทุนเงินสำรอง

ที่ผ่านมา รัฐแอริโซนาเคยพยายามผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคริปโตหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยผู้ว่าการรัฐ เคที ฮอบส์(Katie Hobbs) เคยใช้สิทธิยับยั้งร่างกฎหมายสำคัญถึง 2 ฉบับ ด้วยเหตุผลเรื่อง ‘ความผันผวนทางราคา’ และ ‘ความเสี่ยงต่อเงินภาษีสาธารณะ’ โดยระบุว่า “ตลาดคริปโตยังไร้เสถียรภาพเกินกว่าที่จะนำงบประมาณของรัฐไปผูกกับสินทรัพย์ประเภทนี้”

อย่างไรก็ตาม ท่าทีเริ่มเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เมื่อนโยบายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ตกค้าง และการกำกับดูแลเครื่องเอทีเอ็มคริปโต ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา ทำให้โอกาสของ HB 2324 ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น หากร่างกฎหมายผ่านสภาผู้แทนและได้รับลายเซ็นจากผู้ว่าการ ก็จะกลายเป็นกฎหมายที่เป็นกรณีตัวอย่างว่าคริปโตเคอร์เรนซีกำลังได้รับการยอมรับเป็น ‘สินทรัพย์สาธารณะ’ อย่างเป็นทางการ

ขณะนี้ร่างกฎหมายต้องการคะแนนเสียงอย่างน้อย 31 เสียงในสภาผู้แทนเพื่อผ่านขั้นตอนสุดท้าย ก่อนที่จะถูกส่งให้ผู้ว่าการรัฐพิจารณาเซ็นรับรอง แม้ท่าทีของฝ่ายผู้ว่าการยังไม่ชัดเจน แต่ *ความคิดเห็น* ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้

หากผ่านการบังคับใช้จริง รัฐแอริโซนาอาจกลายเป็นต้นแบบการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลจากการยึดทรัพย์มาเสริมงบประมาณภาครัฐแบบยั่งยืน และอาจจุดประกายให้รัฐอื่นๆ นำแนวทางคล้ายคลึงกันมาใช้ตาม *ความคิดเห็น* หลายฝ่ายมองว่านี่คือบททดสอบสำคัญว่า *คริปโตเคอร์เรนซี* จะสามารถเปลี่ยนสถานะจาก ‘สินทรัพย์ไม่แน่นอน’ เป็น ‘สมบัติของสังคม’ ได้หรือไม่