ศาลเกาหลีใต้ตัดสินให้ ฮารู อินเวสต์(Haru Invest) และผู้บริหารหลักพ้นผิดในคดี ‘ฉ้อโกงคริปโต’ มูลค่ากว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่มีการชี้ถึงพฤติกรรมการบริหารที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ถึงขั้นถือเป็น ‘อาชญากรรม’
เมื่อวันที่ 21 (เวลาท้องถิ่น) ศาลแขวงโซลใต้สาขาอาญาที่ 15 ได้มีคำตัดสินให้ *อี ฮยองซู* ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ *ฮารู อินเวสต์* พ้นผิดจากข้อกล่าวหาละเมิดกฎหมาย ‘การลงโทษเพิ่มเติมสำหรับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเฉพาะด้าน’ ที่มีมูลค่าความเสียหายราว 9,040 พันล้านวอน (ประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์) โดยศาลระบุว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทแม้ไม่เหมาะสม แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่าย ‘ฉ้อโกงทางอาญา’
ผู้พิพากษา *ยัง ฮวันซึง* อธิบายว่า แม้ฝ่ายบริหารของบริษัทจะมีความผิดพลาดทางการบริหารจริง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็น *‘การหลอกลวงโดยเจตนา’* ที่เข้าหลักเกณฑ์ทางอาญาแต่อย่างใด
อี ฮยองซู พร้อมด้วยอดีตผู้บริหารร่วมจากบริษัท *บล็อกคราฟเตอร์ส* อย่าง ‘พัค’ และ ‘ซง’ ต่างได้รับการตัดสินว่าพ้นผิดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการสูงสุด (COO) ‘คัง’ ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี พร้อมบริการสาธารณะ 120 ชั่วโมงในข้อหายักยอกทรัพย์
ศาลยังชี้ว่า ฮารู อินเวสต์ใช้กลยุทธ์ ‘การลงทุนแบบเป็นกลางต่อทิศทางตลาด’ ในการบริหารสินทรัพย์ลูกค้า แต่ผลกระทบจากการล่มสลายของแพลตฟอร์มภายนอกอย่าง *เอฟทีเอ็กซ์(FTX)* มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะของบริษัท โดยศาลยกประเด็นการที่ผู้บริหารเองยังคงนำเงินเข้าสู่ธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นต่อธุรกิจด้วยตนเองเป็นเหตุผลในการตัดสินใจ เช่น พัคและซงลงทุนรวมราว 5.5 ล้านดอลลาร์ ส่วนอี ฮยองซูและครอบครัวลงทุนมากกว่า 7.4 ล้านดอลลาร์
ในคำพิพากษายังระบุว่าหลังจากเกิดเหตุระงับการถอนเงิน บริษัทได้พยายามใช้สินทรัพย์บางส่วนในการคืนค่าเสียหายแก่ลูกค้า และการจ่ายดอกเบี้ยก่อนหน้านั้นก็มีพื้นฐานมาจากผลตอบแทนจริง ไม่ใช่การสร้างข้อมูลปลอมขึ้นมา
กรณีนี้เริ่มต้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 เมื่อบริษัทอ้างว่าได้รับข้อมูลเท็จจากบริษัทจัดการสินทรัพย์ร่วมทุน และประกาศ *ระงับการฝากถอนทุกระบบทันที* ตามมาด้วยการปิดสำนักงานในกรุงโซล และกระแสตื่นตระหนกในกลุ่มนักลงทุน ต่อมาเพียง 1 วัน *เดลลิโอ* ซึ่งเป็นพันธมิตรฝั่งผู้รับฝากย่อยก็ประกาศระงับการฝากถอนตาม ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วอุตสาหกรรม
อัยการมีคำร้องอายัดทรัพย์มูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ พร้อมคำสั่งห้ามผู้บริหารเดินทางออกนอกประเทศ และได้มีการฟ้องร้องต่ออี ฮยองซู รวมถึงจำเลยอื่นในข้อหา *ยักยอกเงินลงทุนที่มีมูลค่ารวมกว่า 8.26 พันล้านดอลลาร์* ต่อมาในระหว่างการพิจารณาคดี ยังมีผู้เสียหายรายหนึ่งใช้มีดพยายามแทงอีในศาล ซึ่งผู้ต้องหาดังกล่าวกำลังเผชิญโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปีจากข้อหาพยายามฆ่า
ในประเด็นความรับผิดจากการล้มของ FTX ศาลตัดสินว่าเป็นผลจากข้อมูลเท็จที่ได้รับจากบุคคลภายนอกชื่อ ‘บัง’ ซึ่งเป็นผู้บริหารทรัพย์สินที่มีความเกี่ยวข้องกับฮารู อินเวสต์ โดยบังได้เบิกถอนทรัพย์สินจาก FTX ก่อนการล่มสลาย และอ้างว่าจะรับผิดชอบต่อความเสียหายเอง แม้ศาลยอมรับว่าฮารู อินเวสต์มีความหละหลวมในการควบคุมดูแล แต่ไม่สามารถยืนยันว่ามีการสมรู้ร่วมคิดทางอาญากับบังแต่อย่างใด
*ความคิดเห็น*: คำตัดสินนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการลงทุนในตลาดคริปโตที่ยังไม่มีแนวปฏิบัติหรือกฎหมายเฉพาะชัดเจน โดยศาลให้ความสำคัญกับการพิสูจน์ ‘เจตนา’ มากกว่าผลเสียหายจากการบริหารผิดพลาด ซึ่งอาจกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่มีอิทธิพลต่อการพิจารณาคดีลักษณะเดียวกันในอนาคต โดยเฉพาะการพิจารณาว่าความล้มเหลวทางธุรกิจในโลกคริปโตควรถูกจัดเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่
ความคิดเห็น 0