วุฒิสภาสหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมายใหม่ที่มุ่งลดความรับผิดทางกฎหมายของนักพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) โดยเฉพาะในสาขาเชิงวิชาชีพอย่างการแพทย์ กฎหมาย และวิศวกรรม ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการใช้งาน AI อย่างปลอดภัย โดยไม่สร้างภาระทางกฎหมายโดยไม่จำเป็นให้กับตัวผู้พัฒนา
ร่างกฎหมายที่มีชื่อว่า ‘กฎหมาย RISE ปี 2025’ (RISE Act of 2025) เสนอนำโดย ซินเธีย ลูมมิส(Cynthia Lummis) วุฒิสมาชิกจากรัฐไวโอมิง พรรครีพับลิกัน ซึ่งระบุว่า นี่เป็น *กฎหมายฉบับแรกในสหรัฐฯ* ที่จัดสร้างกรอบความรับผิดเฉพาะสำหรับ AI เชิงวิชาชีพ โดยเน้นให้มีการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิค เช่น โครงสร้างและประสิทธิภาพของโมเดล เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ในขณะเดียวกันก็คุ้มครองนักพัฒนาจากความเสี่ยงทางกฎหมายที่มากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็กำลังเผชิญเสียงวิจารณ์จากนักวิชาการและภาคประชาสังคม ฮามิด เอคเบีย(Hamid Ekbia) ศาสตราจารย์แห่งคณะนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยซีราคิวซ์ ชี้ว่า การบังคับให้เปิดเผยเพียงข้อมูลทางเทคนิค โดยไม่กำหนดความรับผิดให้ชัดเจน จะกลายเป็นทางลัดให้บริษัท AI หลุดรอดจากการรับผิดอย่างแท้จริง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ความเสี่ยงอาจตกไปอยู่ที่มือของแพทย์หรือทนายความ ซึ่งเป็นผู้ใช้ AI กับลูกค้าโดยตรง
ในอีกด้าน เฟลิกซ์ ชิพเควิช(Felix Shipkevich) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มองว่า การเรียกร้องให้ผู้พัฒนารับผิดแบบไร้ขอบเขตต่อผลลัพธ์ของโมเดลภาษา AI ขนาดใหญ่ เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล พร้อมย้ำว่า "หากไม่มีความจงใจหรือความประมาทอย่างร้ายแรง การลดหย่อนความรับผิดบางส่วนถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม"
ขอบเขตของกฎหมายนี้จำกัดอยู่เฉพาะสถานการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ AI เป็น *เครื่องมือเสริมความสามารถ* เช่น แพทย์ด้านรังสีวิทยาหรือที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งต่างจากกรณีที่บุคคลทั่วไปโต้ตอบกับ AI โดยตรง เช่น กรณีเด็กวัยรุ่นในฟลอริดาที่ใช้แชตบอทเป็นเพื่อนทางดิจิทัลก่อนจบชีวิตตนเอง กรณีลักษณะนี้จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามร่างกฎหมายดังกล่าว
เมื่อเทียบกับแนวทางของสหภาพยุโรป(EU) ซึ่งบังคับใช้ ‘กฎหมาย AI’ ตั้งแต่ปี 2023 โดยเน้นสิทธิของผู้บริโภคเป็นหลัก สหรัฐฯ กลับเลือกใช้โมเดล ‘พื้นฐานจากความเสี่ยง’ ที่มอบความยืดหยุ่นให้ภาคธุรกิจมากกว่า นักวิจัยจากองค์กร AI ฟิวเจอร์โปรเจกต์ ดาเนียล โคโคไตจาโล(Daniel Kokotajlo) วิจารณ์ว่า การกำหนดภาระความโปร่งใสเพียงขั้นต่ำ ขัดกับหลักการคุ้มครองผู้ใช้ และเปิดช่องให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงการรับผิดได้
ทั้งภาควิชาการและอุตสาหกรรมต่างเรียกร้องให้มี *กรอบเกณฑ์แบบบูรณาการ* ที่สะท้อนความซับซ้อนของการใช้งานจริง เช่นกรณีของ ไรอัน แอบบอต(Ryan Abbott) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ระบุว่า AI อาจให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่แม่นยำกว่ามนุษย์ในบางกรณี ซึ่งจำเป็นต้องมีเกณฑ์ประเมินที่ชัดเจน
แม้การผ่านร่างกฎหมายยังไม่แน่นอน แต่ในแวดวงเทคโนโลยีมองว่าการเปิดตัว ‘กฎหมาย RISE’ เป็น "ก้าวแรก" ที่สำคัญ จัสติน บูลล็อก(Justin Bullock) รองประธานองค์กร ARI มองว่า กฎหมายนี้มีข้อดีด้าน *แนวทางความโปร่งใส ความปลอดภัยแบบจำกัด และกรอบความรับผิดที่ยึดผู้เชี่ยวชาญเป็นศูนย์กลาง* อย่างไรก็ตาม เขายังเตือนว่า การเปิดเผยสเปกโมเดลโดยไม่ผ่านการประเมินภายนอก อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยเกินจริง
ภายใต้บริบทที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงควบคุมทิศทางการกำกับดูแลด้านผู้บริโภค เสียงกังวลบางส่วนมองว่าร่างกฎหมายนี้กำลังเอื้อให้บริษัทเทคโนโลยีมีช่องทางหลีกเลี่ยงความรับผิดต่อผู้ใช้มากขึ้น
หากผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ร่างกฎหมาย RISE จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป ท่ามกลางยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทต่อ *ชีวิตและเสรีภาพของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง* ความจำเป็นของกรอบกำกับดูแลที่แม่นยำและสมดุลจึงยิ่งทวีความสำคัญ
ความคิดเห็น 0