ประธานาธิบดีทรัมป์อาจออกคำสั่งพิเศษเพื่อปกป้องบริษัทคริปโตจากการถูกแบนโดยธนาคาร ตามรายงานของ Wall Street Journal เมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่าทีมของทรัมป์อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการเพื่อหยุดยั้งธนาคารไม่ให้ปฏิเสธการให้บริการกับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น คริปโต เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เชื่อมโยงกับแคมเปญ ‘Operation Chokepoint 2.0’ หรือที่รู้จักในชื่อ ‘ดีแบงก์’ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และผู้ประกอบการคริปโตมากกว่า 30 รายนั้นถูกปฏิเสธการเปิดบัญชีธนาคารหรือเข้าถึงบริการทางการเงินในช่วงยุคของรัฐบาลไบเดน ทรัมป์ได้เคยประกาศในเดือนมีนาคมที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะยุติมาตรการเหล่านี้หากกลับเข้าสู่อำนาจ
ในสหรัฐฯ ขณะนี้มีธนาคารพาณิชย์รายใหญ่หลายแห่ง รวมถึง เจพีมอร์แกนเชส(JPM), ซิตี้กรุ๊ป(C), และเวลส์ฟาร์โก(WFC) กำลังได้รับแรงกดดันจากภาครัฐของรัฐเท็กซัสและโอคลาโฮมา ให้ทบทวนการปฏิเสธให้บริการธุรกิจบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมอาวุธ พลังงานฟอสซิล และตลาดคริปโต โดยถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำด้วยแรงจูงใจทางการเมือง
เอลิซาเบธ วอร์เรน สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ก็เคยกล่าวในการไต่สวนของคณะกรรมการการธนาคารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณควรได้รับบริการจากธนาคารเหมือนกันหมด” และเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารของทรัมป์เข้าแทรกแซง
แรงกดดันเหล่านี้พุ่งขึ้นสูงในช่วงปี 2023 เมื่อเกิดเหตุการณ์ล้มละลายของธนาคารที่เป็นมิตรกับวงการคริปโต เช่น ซิลิคอนวัลเลย์แบงก์, ซิลเวอร์เกต และซิกเนเจอร์แบงก์ นักลงทุนสายคริปโต นิกร์ คาร์เตอร์ เรียกเหตุการณ์เหล่านี้ว่าเป็นผลจากยุทธศาสตร์จัดระบบแบบ “ไล่คริปโตออกจากระบบการเงิน” หรือ Chokepoint 2.0
แม้แต่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมรายสำคัญอย่าง คัสโตเดียแบงก์ ก็ได้รับผลกระทบจากกระแสดีแบงก์ โดยต้องเผชิญกับความเสียหายหลายร้อยล้านบาทและโครงการล่าช้าเป็นเดือน ผู้ก่อตั้ง เคทลิน ลอง ตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์จะสามารถแต่งตั้งกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ได้หลังเดือนมกราคมปีหน้าเท่านั้น ก่อนหน้านั้น นโยบายที่ไม่เป็นมิตรกับคริปโตน่าจะยังคงดำเนินต่อไป
ทั้งนี้ ‘ท่าทีที่เป็นมิตรกับคริปโต’ ของทรัมป์ และความเป็นไปได้ในการเผชิญหน้ากับกลุ่มต่อต้านภายในหน่วยงานการเงิน อาจกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยกำหนดทิศทางของตลาดคริปโตในระยะกลางถึงยาว ไม่เพียงในเชิงสัญญาณทางเศรษฐกิจ แต่รวมถึงภาพรวมของรัฐกับเทคโนโลยีการเงินในอนาคตด้วย
ความคิดเห็น 0