กาโบร์ เกอร์บักซ์(Gabor Gurbacs) ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ของเทเธอร์ ได้วิจารณ์นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานนี้ โดยกล่าวว่านักลงทุนที่เข้าสู่ตลาดในช่วงแรกของการเติบโตของเทคโนโลยีบล็อกเชนในปี 2016-2017 ยังคง *ไม่เข้าใจแก่นแท้ของบิตคอยน์(BTC)*
เกอร์บักซ์ระบุว่า "ในตอนนั้น นักลงทุนสถาบันจำนวนมากมีท่าทีว่า ‘ชอบบล็อกเชนแต่ไม่ชอบบิตคอยน์’" พร้อมเสริมว่า “แม้เวลาจะผ่านไปถึง 8 ปี พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจบิตคอยน์เลยแม้แต่น้อย” เขาเน้นว่า *วงการนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น* และพฤติกรรมการลงทุนที่มองข้ามคุณค่าหลักของบิตคอยน์ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นอกจากนี้ เกอร์บักซ์ยังวิจารณ์ความเปราะบางเชิงโครงสร้างของธนาคาร ซึ่งเป็นรากฐานของระบบการเงินในปัจจุบัน โดยชี้ว่า ธนาคารโดยทั่วไปถือครองสินทรัพย์สภาพคล่องเกรดหนึ่งไม่ถึง 15% ของเงินฝากลูกค้า ขณะที่บริหารสินทรัพย์หลายหมื่นล้านดอลลาร์ แต่มีประกันคุ้มครองเพียงไม่กี่ร้อยล้านเท่านั้น เขาเปรียบเทียบระบบการเงินนี้ว่าเป็น “บ้านที่สร้างด้วยไพ่ที่ดูดีแต่บอบบาง” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของ *ความไว้วางใจจากลูกค้าเพียงอย่างเดียว*
ในทางกลับกัน เทเธอร์มีเงินสำรองในเดือนสิงหาคม 2024 รวมมูลค่าถึง 118,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 164.3 ล้านล้านวอน) โดยในจำนวนนี้มี *เงินสำรองส่วนเกิน* 5,300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.3 ล้านล้านวอน) เกอร์บักซ์ชี้ว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสของระบบ *สเตเบิลคอยน์* ที่ไม่พึ่งพาศูนย์กลางฝากทรัพย์สินแบบดั้งเดิม
ขณะเดียวกัน การเข้าสู่ *บิตคอยน์แบบองค์กร* ก็กำลังเกิดขึ้นมากขึ้นผ่านการอนุมัติ *บิตคอยน์ ETF แบบสปอต* และการนำ *กลยุทธ์คลังบิตคอยน์* มาใช้ในระดับบริษัท ‘กลยุทธ์’ (Strategy เดิมชื่อไมโครสตราเทจี) ที่ก่อตั้งโดยไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) เป็นผู้บุกเบิก เทรนด์นี้ต่อเนื่องโดยบริษัทอื่นๆ เช่น เมตาแพลนเน็ต, MARA และไรออต
ด้านบริษัทในแคนาดาอย่าง *บิตคอยน์ เทรเชอรี คอร์ปอเรชัน(BTCT)* เพิ่งระดมทุนได้ 125 ล้านดอลลาร์แคนาดาผ่านการออกหุ้น และนำเงินไปซื้อบิตคอยน์ 292.8 BTC เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการให้บริการสินเชื่อโดยอิงกับบิตคอยน์
ส่วนบริษัท *ProCap BTC* ที่เพิ่งก่อตั้งโดยแอนโธนี พอมปลิอาโน(Anthony Pompliano) ก็ได้เข้าซื้อบิตคอยน์จำนวน 1,208 BTC ในราคาประมาณ 105,977 ดอลลาร์ต่อเหรียญ (ราว 14.73 ล้านบาท) และประกาศว่า ปัจจุบันถือครองบิตคอยน์ทั้งหมด 4,932 BTC แล้ว
คำกล่าวของเกอร์บักซ์ในครั้งนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึง ‘ความเข้าใจผิด’ ของนักลงทุนสถาบันบางกลุ่มที่มีต่อบิตคอยน์ แต่ยังสะท้อนแนวโน้มในอีกด้านที่บริษัทข้ามชาติและกองทุนเกิดใหม่ กำลังเริ่ม *ใช้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์หลัก* มากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจใน *ปรัชญาและการใช้งานที่แท้จริงของบิตคอยน์* กำลังกลายเป็นเกณฑ์สำคัญที่จะชี้ชะตาความอยู่รอดและผลตอบแทนระยะยาวในโลกการเงินยุคใหม่
ความคิดเห็น 0