หน่วยงานปราบปรามการฟอกเงินระหว่างประเทศ (FATF) ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับ *สเตเบิลคอยน์* ที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนยังไม่ถือว่าสถานการณ์นี้เป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมคริปโต โดยผู้เชี่ยวชาญจากเชนเอลลิซิส(Chainalysis) และแอสเซทริแอลลิตี้(Asset Reality) มองว่าการออกคำเตือนในครั้งนี้เป็นการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดมากกว่าการยับยั้งการเติบโต
เมื่อวันที่ 20 (เวลาท้องถิ่น) FATF เผยแพร่รายงานที่ระบุถึงความเสี่ยงจากการนำ *สเตเบิลคอยน์* มาใช้ในวงกว้าง พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับติดตามอย่างเข้มงวด สำหรับประเด็นนี้ เอดัน ลาร์คิน(Aidan Larkin) ผู้ร่วมก่อตั้งแอสเซทริแอลลิตี้ ให้ความเห็นว่า “มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่การเคลื่อนไหวต่อต้านคริปโต แต่สะท้อนว่าความน่าเชื่อถือและการเติบโตของอุตสาหกรรมนั้นขึ้นอยู่กับกฎระเบียบที่เหมาะสม”
ขณะเดียวกัน เชนเอลลิซิสเปิดเผยข้อมูลวิเคราะห์ว่า *สเตเบิลคอยน์* ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการทำธุรกรรมเท่านั้น แต่ยังถูกใช้เพื่อ *การเคลื่อนย้ายเงินที่ผิดกฎหมาย* อย่างแพร่หลาย โดยจอร์แดน เวน(Jordan Wain) ที่ปรึกษาด้านนโยบายของบริษัทกล่าวว่า “*สเตเบิลคอยน์* เป็นเครื่องมือหลักในการโอนมูลค่า และเป็นตัวแทนคริปโตที่ใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมายมากที่สุด” พร้อมอ้างอิงจากรายงาน “อาชญากรรมบนบล็อกเชน ปี 2025” ซึ่งชี้ว่ากว่า 63% ของธุรกรรมที่ผิดกฎหมายบนบล็อกเชนนั้นเกี่ยวข้องกับสเตเบิลคอยน์
ท่ามกลางปัญหานี้ FATF สนับสนุนให้นานาชาติจัดให้มี *กฎระเบียบที่สอดคล้องกันสำหรับผู้ให้บริการสเตเบิลคอยน์*. รวมถึงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างกลไกติดตามและสกัดกั้นกระแสเงินผิดกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่ามาตรการใหม่นี้ไม่ใช่การ *ควบคุม* แต่เป็น *โอกาสในการวางรากฐานระบบนิเวศที่มีกรอบกฎหมายชัดเจน* โดยในระยะสั้น ระเบียบเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และในระยะยาว จะเอื้อต่อการสร้างระบบที่โปร่งใสและยั่งยืนยิ่งขึ้นในวงการคริปโต ความคิดเห็น: การผลักดันมาตรฐานสากลและการเฝ้าระวังที่เข้มข้นขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมคริปโตในเวทีโลก
ความคิดเห็น 0