สหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมายใหม่ ยกเว้นภาษีคริปโตบางกรณี–เลื่อนเก็บภาษีรางวัลขุดและสเตกกิ้ง

ซินเธีย ลัมมิส(Cynthia Lummis) สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เปิดเผยร่างกฎหมายใหม่เมื่อวันที่ 4 (เวลาท้องถิ่น) โดยมีเนื้อหาหลักเพื่อ *ยกเว้นภาษีสำหรับธุรกรรมคริปโตบางประเภท* ที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนด และ *เลื่อนการเก็บภาษีจากรางวัลการขุดและการสเตกกิ้งออกไปจนกว่าผู้ถือจะขายโทเคน* ร่างกฎหมายนี้ถูกมองว่าเป็นการแก้ไขความไม่ชัดเจนในระบบภาษีคริปโตของสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงที่ผู้ใช้งานจะละเมิดกฎหมายทางภาษีโดยไม่ตั้งใจ

ในแถลงการณ์ ลัมมิสกล่าวว่า กฎหมายฉบับใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อ “ช่วยให้ชาวอเมริกันสามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลได้ โดยไม่พลาดหรือฝ่าฝืนกฎหมายภาษีโดยไม่เจตนา” พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงข้อกำหนดด้านกฎระเบียบให้ทันต่อการแพร่หลายของสกุลเงินดิจิทัล ร่างกฎหมายดังกล่าวเผยแพร่หลังการผ่านร่าง *กฎหมายแนวทางนวัตกรรมแห่งชาติด้านสเตเบิลคอยน์ของสหรัฐฯ (GENIUS)* ไปเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ด้วยคะแนนเสียงขาดลอย 68 ต่อ 30

ร่าง *GENIUS* ได้รับความสนใจจากการกำหนด *มาตรฐานการค้ำประกันที่ชัดเจนสำหรับสเตเบิลคอยน์* ซึ่งเปิดทางให้สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมสามารถรับรู้และยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทนี้ในฐานะ “รูปแบบของเงินที่ดีกว่า” อันเดรย์ กราเชฟ ผู้อำนวยการร่วมของ DWF แลบส์ และ แฟลคอน ไฟแนนซ์ แสดงความคิดเห็นว่า “ขณะนี้ สเตเบิลคอยน์ได้รับความชอบธรรมในมุมมองของผู้มีส่วนร่วมในระบบการเงินดั้งเดิม และก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในการนำไปใช้งานจริง”

ความชัดเจนด้านกฎหมายภายในแวดวงการเงินดั้งเดิมยังสะท้อนผลเชิงบวกต่อการ *เคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่ระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi)* อีกด้วย สตานิ คูเลคอฟ ผู้ก่อตั้ง Aave แลบส์ กล่าวบนเวทีงาน EthCC 2025 ที่ปารีสว่า “ความผิดหวังจากธนาคารแบบดั้งเดิมและประสบการณ์ที่ไม่เอื้อต่อผู้ใช้ ได้เร่งการเติบโตของตลาดฟินเทค ซึ่งยังส่งผลให้ผู้คนหันเข้าหาเครือข่ายกระจายอำนาจมากขึ้น” เขายังเน้นถึง *การโทเคนไนซ์สินทรัพย์จริง* ว่าเป็นโอกาสระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ภาคคริปโตสามารถเชื่อมต่อกับระบบการเงินดั้งเดิมในอนาคต

แม้ยังเป็นเพียงร่างกฎหมาย แต่ข้อเสนอของลัมมิสได้กลายเป็นที่กล่าวถึงในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะการ *แก้ไขปัญหาเรื้อรังเรื่องการเก็บภาษีจากรางวัลขุดและสเตกกิ้ง* ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นทางภาษีที่สำคัญและซับซ้อนที่สุด หากร่างกฎหมายนี้เข้าสู่กระบวนการออกกฎหมายได้สำเร็จ ตลาดคริปโตในสหรัฐฯ จะมีโครงสร้างภาษีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิด *สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะยาว*