ประธานาธิบดีทรัมป์สร้างกระแสอย่างหนักอีกครั้ง หลังประกาศนโยบาย *เก็บภาษีศุลกากร* ใหม่ต่อสินค้าจากประเทศที่สนับสนุนกลุ่มบริกส์(BRICS) โดยจะจัดเก็บภาษีเพิ่มอีก ‘10%’ โดยไม่มีข้อยกเว้น จุดยืนของทรัมป์ระบุว่าเป็น *การตอบโต้ต่อท่าทีที่ต่อต้านสหรัฐฯ* แม้ยังไม่เปิดเผยชื่อประเทศเป้าหมายหรือเกณฑ์ที่ใช้ตัดสินชัดเจน
ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นช่วงการประชุมสุดยอดบริกส์ ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล โดยกลุ่มบริกส์กำลังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยสมาชิกเดิมได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ ล่าสุดมีอินโดนีเซีย, อียิปต์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE) เข้าร่วมเพิ่มเติม โดยอินโดนีเซียร่วมประชุมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ทำให้เวทีนี้ถูกจับตามองในแง่การผลักดันความร่วมมือระดับโลกที่หวังจะเป็น *ทางเลือกจากกลุ่ม G7 และ G20*
“ไม่มีข้อยกเว้น” ทรัมป์กล่าวย้ำ พร้อมระบุว่าการดำเนินการครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นมาตรการภาษี แต่ยังรวมถึงเครื่องมือกดดันทางการทูต เพื่อ *ฟื้นฟูสถานะของสหรัฐฯในห่วงโซ่อุปทานโลก* โดยถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หาเสียงก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 ที่เขาหวังจะกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ด้วยนโยบายเศรษฐกิจชาติเป็นศูนย์กลาง
กลุ่มบริกส์ในช่วงหลังพยายามขับเคลื่อนแนวคิดลดการพึ่งพาระบบเศรษฐกิจที่นำโดยสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคการเงิน สะท้อนให้เห็นผ่านท่าทีของหลายสมาชิกที่เริ่มมองหา *กลไกการชำระเงินที่ไม่ผ่านดอลลาร์สหรัฐ* ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ในครั้งนี้ *ไม่ใช่แค่การทำสงครามภาษีเท่านั้น* แต่ยังสะท้อนถึงการต่อต้านการเปลี่ยนดุลอำนาจในภูมิรัฐศาสตร์โลกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า นโยบายเร่งรีบเช่นนี้อาจสร้างผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของบริษัทในประเทศ และกลับมาซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อที่สหรัฐฯ พยายามควบคุม ความเสี่ยงเหล่านี้อาจย้อนกลับมาเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจของทรัมป์เองในอนาคต *ความคิดเห็น* เพิ่มเติมจากภาคธุรกิจคาดว่า ความไม่แน่นอนทางการค้าอาจเพิ่มขึ้นในช่วงใกล้เลือกตั้ง ทำให้นักลงทุนจับตานโยบายของทรัมป์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ความคิดเห็น 0