กระเป๋าเก็บบิตคอยน์(BTC)ในยุคของซาโตชิซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลากว่า 14 ปี ได้ทำการโอนเหรียญจำนวนมหาศาลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความฮือฮาและข้อสงสัยในหมู่ชุมชนคริปโต โดยการโอนในครั้งนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 100,000 BTC หรือประมาณ 11.9 ล้านล้านวอน (ราว 86,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมาจากกระเป๋าจำนวน 8 ใบที่ไม่มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งบางฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจเชื่อมโยงกับ *ซาโตชิ นากาโมโตะ* ผู้ให้กำเนิดบิตคอยน์
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กระเป๋าเหล่านี้ได้โอนเหรียญจำนวน 10,000 BTC ต่อรายการไปยังที่อยู่แบบเซ็กวิท(SegWit) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและการรองรับปริมาณธุรกรรม นี่ถือเป็นหนึ่งในธุรกรรมเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครือข่าย และยิ่งสร้างความสนใจมากขึ้นเมื่อพบว่ากระเป๋าเหล่านี้ไม่มีประวัติการทำธุรกรรมใดๆ ตั้งแต่ปี 2011 ทำให้ชุมชนวิเคราะห์ว่าอาจเป็นของผู้ใช้ยุคแรก หรือที่รู้จักกันว่า *OG (Original Gangster)* ของวงการบิตคอยน์
ประเด็นนี้สอดคล้องกับกรณีที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของริปเปิล(XRP) เพิ่งออกมาเปิดเผยว่าเคยขุดบิตคอยน์ในช่วงแรก และยิ่งกระพือการอภิปรายเกี่ยวกับผู้ใช้งานยุคบุกเบิกของบิตคอยน์ให้เข้มข้นขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่งยังได้นำภาพหน้าจอจากฟอรั่มบิตคอยน์ในปี 2013 มาอ้างว่าเป็นหลักฐานว่าเคยมีการโอน 1.5 BTC จากหนึ่งในกระเป๋าเหล่านั้น
อย่างไรก็ดี คอนเนอร์ โกรแกน(Conor Grogan) ผู้อำนวยการของบริษัทคริปโตชื่อดัง คอยน์เบส ได้ออกมาโต้แย้งพร้อมเปิดเผยข้อมูลบล็อกเชนว่าไม่มีธุรกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นจริง พร้อมระบุว่า “เป็นเพียงเรื่องแต่งจากคนบางกลุ่มเท่านั้น”
แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนชื่อ อะแคม(Arkham) ยังได้ออกมาเสริมว่า กระเป๋าทั้ง 8 ใบนี้น่าจะเป็นของบุคคลหรือองค์กรเดียวกัน และเห็นได้ชัดว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบที่อยู่ไปเป็น bc1q ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ โดยไม่มีสัญญาณของการขายสกุลเงิน นั่นบอกเป็นนัยว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นเพียง ‘การอัปเกรดกระเป๋า’ เท่านั้น
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้จุดประกายการถกเถียงในชุมชนคริปโตว่า การเคลื่อนไหวของเหรียญ *ในยุคซาโตชิ* เป็นเพียงแค่การจัดการทางเทคนิค หรือเป็นสัญญาณเชิงกลยุทธ์ทางตลาด ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่กระแสสนับสนุนคริปโตกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ *ประธานาธิบดีทรัมป์* มีท่าทีเป็นมิตรกับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้เหตุการณ์นี้ยิ่งกลายเป็นจุดสนใจจากทั้งนักลงทุนและผู้สังเกตการณ์ตลาดทั่วโลก
ความคิดเห็น 0