บริษัทบริหารสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างแบล็คร็อก(BlackRock) กำลังเข้าใกล้ตำแหน่ง ‘ผู้ถือครองบิตคอยน์(BTC) รายใหญ่ที่สุดรองจากผู้ก่อตั้ง’ อย่างซาโตชิ นาคาโมโตะ(Satoshi Nakamoto) โดยตรง จุดประกายให้ตลาดคริปโตเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ ตามข้อมูลจาก เอริก บัลชูนาส(Eric Balchunas) นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ที่เปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า กองทุน ETF บิตคอยน์ของแบล็คร็อกได้ถือครองบิตคอยน์ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงถึง *62% ของยอดโดยประมาณจากกระเป๋าเงินของซาโตชิ* แล้ว
ซาโตชิ นาคาโมโตะ ผู้เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างบิตคอยน์ ถูกคาดว่าจะถือครองบิตคอยน์มากถึงประมาณ 1,123,500 BTC โดยตัวเลขนี้มาจากการวิเคราะห์ธุรกรรมที่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานานผ่านการสังเกตจากข้อมูลบล็อกเชน จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน อาร์แคม อินเทลลิเจนซ์(Arkham Intelligence) พบว่า ซาโตชิมีกระเป๋าเงินมากกว่า 22,000 ที่ยังไม่เคยมีการใช้งานในการโอนออกแต่อย่างใด และรวมกันแล้วมีมูลค่ากว่า 1,096,000 BTC *ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเหรียญเหล่านี้อาจไม่ถูกนำกลับเข้าสู่ตลาดอีกเลย*
ด้านนักลงทุนพันล้านอย่าง ไมค์ โนโวกราตซ์(Mike Novogratz) ก็ให้ *ความคิดเห็น* ว่า “มีความเป็นไปได้สูงที่ซาโตชิอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” ยิ่งตอกย้ำความเชื่อที่ว่า บิตคอยน์จำนวนดังกล่าวอาจกลายเป็นมรดกนิรันดร์ ไม่สามารถถูกใช้งานในระบบเศรษฐกิจอีก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จะทำให้แบล็คร็อกมีสถานะเป็นผู้ถือครองสินทรัพย์บิตคอยน์รายใหญ่อันดับหนึ่งของโลกโดยพฤตินัย
แบล็คร็อกถือเป็นหนึ่งในบริษัทการเงินแบบดั้งเดิมที่รุกสู่ตลาดคริปโตได้รวดเร็วที่สุด และมีบทบาทโดดเด่นในฐานะ ‘กองหน้าแห่งนักลงทุนสถาบัน’ อย่างชัดเจน โดยกองทุน ETF บิตคอยน์ของแบล็คร็อกมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้ จนปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์รวมเกินกว่า *75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 104.25 ล้านล้านวอน)* ซึ่งหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ภายใน 1 ปีข้างหน้า แบล็คร็อกจะกลายเป็น ‘ผู้ถือครองบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ’
สำหรับอันดับผู้ถือครองบิตคอยน์ของภาคเอกชนในเวลานี้ อันดับ 2 รองจากแบล็คร็อกคือบริษัทสเตรเทจี(Strategy) หรือชื่อเดิมว่าไมโครสเตรเทจี ที่ถือครองอยู่ที่ *597,325 BTC* ซึ่งมีปริมาณใกล้เคียงกับกระดานเทรดชื่อดังอย่างไบแนนซ์ ขณะเดียวกันอันดับ 5 ได้แก่กองทุนเกรย์สเกล(Grayscale) ที่ครอบครองอยู่ *229,418 BTC* แต่ต้องเผชิญกับภาวะเงินไหลออกของ ETF อย่างต่อเนื่องจากปัญหาค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูง
หากตำแหน่ง ‘ผู้ถือครองบิตคอยน์สูงสุด’ เปลี่ยนมือไปจากซาโตชิมายังแบล็คร็อก จะถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และโครงสร้าง เพราะจากบุคคลนิรนามที่ต่อต้านระบบการเงินแบบเดิม สู่บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่โดยตรง *ความคิดเห็น* จากหลายฝ่ายมองว่าสิ่งนี้จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านของตลาดบิตคอยน์ไปสู่ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยนักลงทุนสถาบันอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้
ความคิดเห็น 0