บิตคอยน์(BTC) ได้ร่วงลงอย่างหนักจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนที่ราว 147,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.05 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 1 ตามเวลาท้องถิ่น ตามข้อมูลจาก CoinGecko ก่อนจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ส่งผลให้ราคาฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 154,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.14 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงและการชำระบัญชี(Position Liquidation) ปริมาณกว่า 74 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,027 ล้านบาท) ภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้การรีบาวด์ของราคายังไม่มีความต่อเนื่อง ขณะที่ ‘อัตราครองตลาด’ ของบิตคอยน์ลดลงถึง 3 จุดเปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 57.8%
ในขณะเดียวกัน ตลาดบิตคอยน์ ETF กำลังเผชิญกับภาวะซบเซา โดยในวันที่ 1 กันยายน มูลค่าการไหลเข้าสุทธิของ ETF อยู่ที่เพียง 192 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2,669 ล้านบาท) เท่านั้น โดยข้อมูลเผยว่าตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา การไหลเข้าของเงินใน ETF เหล่านี้ลดลงต่อเนื่อง ถึงแม้กองทุน IBIT ของแบล็คร็อกจะอยู่ในอันดับ 7 ของ ETF โดยรวมในสหรัฐฯ ในแง่มูลค่าตลาด แต่กระแสเงินใหม่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ชัดเจน ปัจจุบันสินทรัพย์รวมในกองทุน ETF บิตคอยน์มีอยู่ราว 1.42 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 197.8 ล้านล้านบาท) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับสูงสุดที่ 1.55 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 215.4 ล้านล้านบาท) เมื่อเดือนก่อน ในทางตรงกันข้าม ETF ของอีเธอเรียม(ETH) กลับเติบโตขึ้นจาก 22,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 24,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ตลาดฟิวเจอร์สบิตคอยน์ยังคงมีสัญญาณคึกคัก โดยมูลค่า *Open Interest* พุ่งขึ้นแตะระดับใกล้ 40,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 55.6 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดรายสัปดาห์ และสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่อยู่เพียง 15,000–16,000 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความหวังใหม่ให้กับ ‘ฝั่งขาขึ้น’ ที่ยังเชื่อว่าตลาดยังมีโอกาสกลับมาร้อนแรง โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์มักบ่งชี้ว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ ‘ขาขึ้น’ หลังการ Halving ของเครือข่าย ความเห็นของนักวิเคราะห์หลายรายจึงชี้ว่าบิตคอยน์ยังไม่หมดแรงไปเสียทีเดียว
ขณะเดียวกัน โทเคนใหม่อย่าง ‘WLFI’ ของโครงการ *World Liberty Financial* กลายเป็นอีกจุดสนใจเมื่อสามารถทะลุราคา 0.3 ดอลลาร์ ได้ทันทีที่เปิดตัวบนแพลตฟอร์มซื้อขายกลางเมื่อวันที่ 1 กันยายน ส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งถึง 8,260 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 11.4 ล้านล้านบาท) ก่อนจะย่อตัวลงมาอยู่ที่ราว 0.22 ดอลลาร์ อย่างไรก็ดี โทเคนดังกล่าวกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากโครงสร้างการถือครองที่ ‘รวมศูนย์สูง’ โดยมีการล็อกอุปทานกว่า 80% และยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับช่วงเวลาการปลดล็อก นักลงทุนรายแรกคาดว่ามีกำไรแล้วอย่างน้อย 5,000–6,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.95–8.34 ล้านล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศตลาดที่ยังมีโมเมนตัมด้านบวก ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็ยังคงสูง โดยในวันเดียวกันมีข่าวลือว่าบีฟายแพลตฟอร์มอย่าง ‘วีนัสโปรโตคอล’ (Venus Protocol) ถูกโจมตีด้วยมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 417 ล้านบาท) จนตลาดเกิดความวุ่นวาย อย่างไรก็ดี บริษัทด้านความปลอดภัยทางบล็อกเชน PeckShield ออกมาปฏิเสธข้อมูลนี้ โดยระบุว่าเป็นเพียงกรณีปัญหาการตกเป็นเหยื่อ ‘ฟิชชิ่ง’ ของผู้ใช้รายหนึ่งที่สูญเสียมูลค่า 27 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 375 ล้านบาท) ผ่านโทเคนที่เคยอนุมัติสิทธิ์ให้กับแฮกเกอร์
โดยสรุปแล้ว สถานการณ์ของตลาดคริปโตในขณะนี้ยังคงผันผวน แม้ตลาดยังอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นแต่ปัจจัยทั้งจาก ETF, การโจมตีทางไซเบอร์ และปริมาณ Open Interest ที่สูง ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะกำหนดทิศทางราคาในระยะกลางถึงยาว นักลงทุนจึงควรติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดและข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในทุกเวลา
ความคิดเห็น 0