อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้งบิตเม็กซ์(BitMEX) ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดคริปโตอีกครั้ง หลังจากขายโทเคน *ไฮเปอร์ลิควิด(HYPE)* จำนวนมากเกินกว่า 96,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าราว 4.8 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 667.2 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ราคาของโทเคน HYPE ร่วงลงถึง *12%* ภายในวันเดียว เหตุการณ์นี้สร้างกระแสวิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะถ้อยแถลงของเฮย์สที่กล่าวว่า “ขายเพื่อนำไปจ่ายเงินจองรถเฟอร์รารีรุ่นใหม่ ‘849 เทสตาโรซา’” ยิ่งทำให้สถานการณ์ร้อนแรงยิ่งขึ้น
ความขัดแย้งยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อย้อนกลับไปเพียงเดือนเดียว เฮย์สเพิ่งปรากฏตัวบนเวที *Web3 Conference* ที่กรุงโตเกียว พร้อมแสดงมุมมองเชิงบวกต่อโครงการไฮเปอร์ลิควิด ระบุว่าแพลตฟอร์มนี้มีศักยภาพเติบโตสูงจากรายได้ค่าธรรมเนียมและอาจทำให้โทเคนพุ่งขึ้นถึง ‘126 เท่า’ จากราคาในขณะนั้น แต่จากข้อมูลล่าสุด เขาตัดสินใจถอนการลงทุนทั้งหมด พร้อมทำกำไรทันทีประมาณ 823,000 ดอลลาร์ หรือราว 114.4 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทน 19.2% ซึ่งหลายฝ่ายมองเป็น *การถอนทุนหลังขายภาพฝัน*
แพลตฟอร์มไฮเปอร์ลิควิดเอง เป็น *ตลาดอนุพันธ์แบบกระจายศูนย์* ที่รองรับการเทรดแบบสัญญาถาวรด้วยอัตราทดสูง โดยในช่วงหลังสามารถสร้างฐานผู้ใช้งานและเพิ่มปริมาณซื้อขายอย่างรวดเร็ว เฮย์สเคยเน้นย้ำถึงการเติบโตนี้ในอดีต แต่เมื่อมีข่าวการขายโทเคนของเขาออกมา ชุมชนบางส่วนกลับแสดงความไม่พอใจ พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการโปรโมตเพื่อดันราคาแล้วเทขายทันทีใช่หรือไม่”
ไม่เพียงแค่เคลื่อนไหวด้านการขาย เฮย์สยังเสนอแง่มุมเชิงมหภาคในช่วงสุดสัปดาห์ โดยกล่าวว่า การที่บัญชีทั่วไปของกระทรวงการคลังสหรัฐ(TGA) มีเงินคงเหลือทะลุ 850,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,181.5 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นว่า *ช่วงดูดสภาพคล่องได้สิ้นสุดลงแล้ว และตลาดอาจกลับเข้าสู่รอบขาขึ้น*
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตลาดอัลต์คอยน์วันเดียวกันกลับไม่สดใส โดยอาสเตอร์(ASTER) โทเคนจากแพลตฟอร์มคู่แข่งของไบแนนซ์(BNB) ตกลงถึง 17% ขณะที่ *พัมพ์ฟัน(PUMP)* ซึ่งเป็นเหรียญมีมบนโซลานา(SOL) ร่วงลง 15% ด้านโครโนส(CRO) ก็ไม่รอดจากความผันผวนหลังร่วงถึง 9% ส่วนสกุลหลักอย่าง อีเธอเรียม(ETH), ริปเปิล(XRP) และโซลานา(SOL) ต่างลดลงใกล้เคียงกันราว 4%
ไม่เพียงเท่านั้น เหรียญอื่น ๆ อย่าง ดอจคอยน์(DOGE), คาร์ดาโน(ADA) และเชนลิงค์(LINK) ก็ถูกแรงขายกดดันจนปรับตัวลงตามไปด้วย ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมคริปโตสูญหายไปกว่า *80,000 ล้านดอลลาร์* หรือประมาณ 111.2 ล้านล้านบาท ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คิดเป็นการลดลงราว 2.2% ท่ามกลางบรรยากาศความไม่แน่นอนที่ทำให้ *ความหวังในการฟื้นตัวระยะสั้นต้องสะดุด* อีกครั้งจากแรงขายของนักลงทุนรายใหญ่
ความคิดเห็น 0