เทคโนโลยีคริปโตเคอร์เรนซีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับผู้ใช้งานยุคเริ่มต้นหรือผู้ที่มีอุดมการณ์อีกต่อไปแล้ว ขณะนี้สเตเบิลคอยน์กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้งานคริปโตในรูปแบบที่มุ่งหวัง ‘ความใช้งานได้จริง’ และ ‘ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน’ เป็นหลัก
เมื่อไตรมาสสามของปี 2025 สเตเบิลคอยน์อย่างเทเธอร์(USDT) และยูเอสดีซี(USDC) ของเซอร์เคิลมีสัดส่วนการทำธุรกรรมจากตลาดคริปโตรวมกันสูงถึงประมาณ 40% ปัจจัยสำคัญคือการที่ผู้ใช้งานจากประเทศกำลังพัฒนา เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และลาตินอเมริกา หันมาใช้สเตเบิลคอยน์เพื่อโอนเงินข้ามพรมแดนในต้นทุนที่ถูกและรวดเร็วมากขึ้น ในสายตาของพวกเขา คริปโตไม่ใช่สินทรัพย์เพื่ออุดมการณ์ แต่คือเครื่องมือที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
หากพิจารณาจากฟิลิปปินส์ที่เป็นประเทศที่มีความต้องการโอนเงินสูง จะเห็นได้ว่าการใช้งานคริปโตเพิ่มขึ้นจาก 17.8% เป็น 22.5% ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี โดยเฉพาะการใช้งานเพื่อโอนเงินขนาดเล็กไม่เกิน 250 ดอลลาร์ (ประมาณ 34,000 บาท) เช่น ซื้อของตลาด จ่ายค่าใช้จ่ายในครัวเรือน หรือค่าเล่าเรียน แสดงให้เห็นถึง ‘การใช้งานจริง’ อย่างชัดเจน จากข้อมูลของเชนแอลลิซิส พบว่าประเทศอย่างอินเดีย ปากีสถาน เวียดนาม และบราซิลก็กำลังมีการนำสเตเบิลคอยน์มาใช้อย่างแพร่หลายเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การมาถึงของผู้ใช้งานกลุ่มใหม่กำลังสร้างความท้าทายให้กับแนวคิดเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ ของสินทรัพย์ดิจิทัลในแบบเดิม ปัจจุบันผู้ใช้งานจำนวนมากยังหลีกเลี่ยงความยุ่งยากของระบบ ‘การเก็บคีย์ส่วนตัวด้วยตนเอง (self-custody)’ และเลือกใช้กระเป๋าคริปโตแบบรวมศูนย์หรือพึ่งพาระบบกู้คืนผ่านความไว้วางใจในเพื่อนหรือญาติ แค่ลืมรหัส 12 คำก็อาจหมายถึงการสูญเสียเงิน 60 ดอลลาร์ (ประมาณ 8,000 บาท) ทั้งหมด ความซับซ้อนนี้กลายเป็น ‘อุปสรรค’ ต่อการใช้งานคริปโตอย่างแท้จริง
ผู้ให้บริการด้านคริปโตกำลังปรับตัวด้วยการออกแบบความปลอดภัยให้ ‘กลมกลืน’ อยู่ในประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น การทดลองระบบที่ไม่ใช้วลีค้นคืน(seeds) แต่ใช้การช่วยกู้คืนผ่านโซเชียลหรือฮาร์ดแวร์แทน แนวคิดคือ ‘ความปลอดภัย’ ควรก้าวข้ามจากการเป็นเรื่องด้านเทคนิค ไปสู่ ‘ส่วนหนึ่ง’ ของประสบการณ์การใช้งาน (UX)
แรงส่งจากการแพร่กระจายของสเตเบิลคอยน์ก็ยิ่งตอกย้ำทิศทางนี้ ปัจจุบันมีผู้ถือครองสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกมากถึง 161 ล้านคน ตัวเลขนี้มีมากกว่าประชากรรวมของ 10 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ใช้งานเหล่านี้ไม่ได้มองคริปโตในฐานะสินทรัพย์เสรีหรือการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง แต่อยู่ในฐานะของ ‘การโอนเงินแบบไม่มีธนาคาร’, ‘ระบบชำระเงินราคาถูก’ และ ‘กระเป๋าเงินผ่านมือถือ’
‘อนาคตของคริปโต’ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความง่ายในการเข้าถึง’ มากกว่าอุดมการณ์แบบกระจายศูนย์ ประสบการณ์การใช้งาน (UX) ที่ดี การรักษาความปลอดภัยที่ฝังตัวในระบบ และวิธีการกู้คืนที่ชัดเจนคือสิ่งจำเป็น โครงสร้างที่เน้นให้ผู้ใช้งานรับผิดชอบดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเองทั้งหมดอาจกำลังถึงทางตัน
ท่ามกลางการเติบโตของสเตเบิลคอยน์ คริปโตเคอร์เรนซีกำลังกลายเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ของระบบการโอนเงินระดับโลกอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง นี่คือโอกาสครั้งใหม่ของวงการคริปโต แต่ก็เป็น ‘บททดสอบ’ สำคัญเช่นกัน หากไม่มีนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ความร้อนแรงของการใช้งานในปัจจุบันก็ยากจะยั่งยืนต่อไป
ความคิดเห็น 0