อีเธอเรียม(ETH) เผชิญแรงขายหนักหลังที่อยู่ใช้งานลดลงเกือบ 24% ภายใน 2 เดือน

อีเธอเรียม(ETH) กำลังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของราคา หลังจากกิจกรรมบนเครือข่ายลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยจำนวนที่อยู่กระเป๋าเงินที่ใช้งานประจำวันมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ตอกย้ำถึง *ความต้องการใช้งานเครือข่ายที่ลดลง* ซึ่งกำลังกลายเป็นปัจจัยถ่วงราคาจนทำให้นักลงทุนเริ่มแสดงความกังวล

จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 26 ตุลาคม จำนวนกระเป๋าเงินที่ใช้งานรายวันของอีเธอเรียมลดลงจากประมาณ 480,000 ที่อยู่ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม เหลือเพียงราว 363,000 ที่อยู่ คิดเป็นการลดลงเกือบ 24% ซึ่งมองว่าเป็นแนวโน้ม *เชิงโครงสร้าง* มากกว่าความผันผวนชั่วคราว โดยสะท้อนว่าผู้ใช้งานมีการเข้าร่วมกิจกรรมด้าน dApp, สัญญาอัจฉริยะ และการโอนเหรียญลดลง

แนวโน้มราคาก็ตอบสนองตามกิจกรรมที่ลดลงเช่นกัน โดยในช่วงเวลาเดียวกัน ราคาของอีเธอเรียมร่วงจากระดับ 4,800 ดอลลาร์ (ประมาณ 648,000 บาท) เหลือเพียง 3,900 ดอลลาร์ (ราว 527,000 บาท) โดยมีทั้งปริมาณการซื้อขายและกิจกรรมผู้ใช้ลดลงพร้อมกัน ทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะ *อ่อนแรงต่อเนื่อง* อีกทั้งค่าเฉลี่ย 7 วันของจำนวนที่อยู่ที่ใช้งานก็ลดลงจาก 480,000 เหลือ 370,000 ที่อยู่ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณความอ่อนแอของตลาดในภาพรวม

ด้านบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนอย่างคริปโตควอนท์(CryptoQuant) ให้ความเห็นว่า “หากไม่มีการฟื้นตัวของจำนวนที่อยู่ที่ใช้งานอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง การฟื้นตัวของราคาก็อาจจะเป็นเพียง *การดีดขึ้นระยะสั้น* เท่านั้น” พร้อมชี้ว่าอัตรากิจกรรมเครือข่ายในปัจจุบันยังคงเป็น *สัญญาณที่ชี้ว่าแนวโน้มขาลงยังไม่สิ้นสุด*

ในขณะที่ราคาของอีเธอเรียม ณ เวลารายงาน อยู่ที่ราว 3,714 ดอลลาร์ (ประมาณ 501,000 บาท) ซึ่งลดลงแล้ว 17.4% ภายในเดือนเดียว และทรุดตัวลงถึง 5% *ภายในวันเดียว* สะท้อนแรงขายที่เร่งตัวในระยะสั้น

นักวิเคราะห์คริปโต เทด ฟิลโลวส์(Ted Pillows) มองว่า อีเธอเรียมกำลังทดสอบแนวรับหลัก โดยกล่าวว่า “ถ้าแรงซื้อกลับเข้ามาในช่วงราคาปัจจุบัน การฟื้นกลับสู่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 540,000 บาท) ยังเป็นไปได้ แต่ถ้าหลุดแนวรับ อาจเห็นราคาร่วงลงต่ำกว่า 3,500 ดอลลาร์ (ราว 473,000 บาท)”

*ความคิดเห็น*: แนวโน้มขาขึ้นของอีเธอเรียมดูจะพึ่งพาการกลับมาของกิจกรรมบนเครือข่ายเป็นหลัก หากไม่มีผู้ใช้ใหม่และนักลงทุนรายเดิมกลับมาทำธุรกรรมอย่างจริงจัง การฟื้นตัวทางราคาก็น่าจะลำบากต่อไปในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อ *ตัวชี้วัดบนเชน(On-chain)* กลายเป็นดัชนีชี้นำสำคัญของตลาดในตอนนี้