ปากีสถานเร่งเดินหน้า ‘คริปโต’ หวังเป็นศูนย์กลางระดับโลกภายใน 2030
ปากีสถานกำลังก้าวกระโดดในด้านการกำกับดูแลและยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล จนมีความเป็นไปได้ที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางคริปโตระดับโลกภายในปี 2030 ตามความเห็นของ จางเผิง จ้าว(CZ) ผู้ก่อตั้งไบแนนซ์(Binance) ที่ระบุว่าหากปากีสถานสามารถรักษาความเร็วในปัจจุบันไว้ได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำของตลาดโลกภายใน 5 ปีข้างหน้า
ในการพูดคุยกับ บิราล บิน ซาคิบ ประธานสำนักงานกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของปากีสถาน (PVARA) CZ ได้กล่าวชื่นชมการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของประเทศในการวางโครงสร้างด้านกฎระเบียบ โดยเขายังมีบทบาทเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์ให้กับโครงการคริปโตของปากีสถานอีกด้วย
ปากีสถานปรับเกณฑ์ดึงดูดบริษัทคริปโตระดับโลก
รัฐบาลปากีสถานได้เริ่มออก ‘หนังสืออนุญาตเบื้องต้น’ หรือ ‘No Objection Certificate (NOC)’ ให้กับบริษัทคริปโตอย่าง ไบแนนซ์ และ HTX เปิดทางให้บริษัทเหล่านี้สามารถยื่นขอตั้งสำนักงานหรือขอใบอนุญาตทำธุรกิจในประเทศได้ แม้ NOC ไม่ใช่การอนุมัติเต็มรูปแบบ แต่ถือเป็น ‘สัญญาณเขียว’ ที่สะท้อนถึงทิศทางที่ภาครัฐพร้อมให้สนับสนุน
นอกจากนั้น ปากีสถานยังเร่งร่าง ‘กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล’ และจัดตั้ง ‘คณะกรรมการคริปโตปากีสถาน’ ในระดับนโยบายระดับชาติ ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมส่งสัญญาณว่า ปากีสถานกำลังก้าวสู่ยุคของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง
‘โทเคน’ สินทรัพย์ของรัฐ มูลค่าอาจแตะ 2 พันล้านดอลลาร์
หนึ่งในแผนที่สร้างความตื่นเต้นในตลาดคือ การแปลงสินทรัพย์ของภาครัฐให้กลายเป็นโทเคน โดยในการหารือกับไบแนนซ์ มีการพูดถึงการโทเคนไอซ์พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ระยะสั้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมูลค่ารวมอาจสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 72,000 ล้านบาท ความเคลื่อนไหวนี้จึงอาจเป็นการทดลองด้านการโทเคนไอซ์ครั้งใหญ่ที่สุดของภาครัฐระดับโลก
‘คำสำคัญ’ นโยบายดังกล่าวยังเปรียบเสมือนการระดมทุนจากตลาดโลกในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนเงินตราต่างประเทศของประเทศ และเปิดโอกาสให้มีแหล่งเงินทุนใหม่ในรูประบบบล็อกเชน
เราอาจเห็น ‘สเตเบิลคอยน์’ และเงินดิจิทัลจากธนาคารกลางของปากีสถาน
ภาครัฐปากีสถานยังออกมาประกาศแผนเปิดตัว ‘สเตเบิลคอยน์บนสกุลเงินท้องถิ่น’ เพื่อช่วยยกระดับระบบชำระเงินดิจิทัล และสนับสนุนแผนโทเคนไอซ์หนี้ของประเทศ โดยในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางปากีสถานก็ได้เริ่มโครงการนำร่องสำหรับ ‘เงินดิจิทัลของธนาคารกลาง(CBDC)’
การเดินหน้าโครงการทั้งสองรูปแบบพร้อมกันนี้ ได้รับความสนใจจากผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดว่าเป็น ‘การทดลองเชิงนโยบายที่มีขนาดใหญ่’ ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมตลาดการเงินโลกในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนี้ ปากีสถานยังมีแผนใช้ ‘พลังงานไฟฟ้าส่วนเกิน’ ของประเทศในการทำเหมืองบิตคอยน์(BTC) และจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยต้นทุนค่าไฟที่ต่ำ ประกอบกับฐานวิศวกรที่มีทักษะ ทำให้ปากีสถานมีศักยภาพจะเป็นฐานใหญ่ของเหมืองคริปโตในอนาคต
ผู้ใช้งานคริปโตมากกว่า 20 ล้านคน แต่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม
มีรายงานว่าจำนวนผู้ใช้งานคริปโตในปากีสถานอยู่ระหว่าง 15 ถึง 20 ล้านคน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงในเวทีโลก อย่างไรก็ดี ความท้าทายยังคงอยู่ที่การขยายโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้สอดรับกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น
แม้รัฐบาลกำลังขยายกรอบกฎระเบียบและสนับสนุนการใช้งานคริปโตในหลากหลายแง่มุม เช่น การชำระเงิน การทำเหมือง และการจัดการสินทรัพย์ แต่ ‘ความคิดเห็น’ ระบุว่า มาตรการส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปของ ‘คำสั่งฝ่ายบริหาร’ และยังไม่มีสถานะเป็นกฎหมายถาวร
กรอบกฎหมายอย่าง ‘ข้อบัญญัติว่าด้วยสินทรัพย์เสมือน’ และกฎเสริมยังมีอายุจำกัด การได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนระหว่างประเทศจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลักดันให้นโยบายต่าง ๆ ผ่านสภาและกลายเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ในระยะยาว
‘คำสำคัญ’ คือ ความแน่นอนทางกฎหมาย และการเดินหน้าปฏิรูปแบบเป็นขั้นเป็นตอน จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ปากีสถานเข้าใกล้เป้าหมายของการเป็นผู้นำในโลกคริปโตภายในปี 2030 อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0