นักพัฒนาหนุน BIP-119: อัปเกรดใหญ่บิตคอยน์ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ชูความปลอดภัย-ขยายศักยภาพเลเยอร์สอง

ข้อเสนอการปรับปรุงบิตคอยน์ (Bitcoin Improvement Proposal: BIP) ที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงแนวคิดที่ยังไม่ถึงเวลาอย่าง *BIP-119* หรือชื่อที่รู้จักกันในหมู่นักพัฒนาอย่าง ‘OP_CHECKTEMPLATEVERIFY(CTV)’ กำลังได้รับความสนใจอีกครั้งในชุมชนบิตคอยน์ ล่าสุดการอัปเกรดนี้ซึ่งเสนอโดยนักพัฒนา เจเรมี รูบิน(Jeremy Rubin) ตั้งแต่ปี 2019 กำลังได้รับแรงสนับสนุนจากนักพัฒนาแนวหน้าและบริษัทเทคโนโลยีบล็อกเชนหลายแห่ง โดยหากได้รับการอนุมัติ จะมีผลกระทบอย่างมากต่อ *ความสามารถในการขยายตัว ความปลอดภัย และการใช้งานจริงของบิตคอยน์*

หัวใจสำคัญของ BIP-119 คือการแนะนำแนวคิด *‘คัฟเวอแนนต์(Covenant)’* และ *‘วอลต์(Vault)’* ซึ่งเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บสินทรัพย์ของตนเองอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับโซลูชันเลเยอร์สองอย่าง *ไลท์นิง เน็ตเวิร์ก* และ *อาร์ค(ARK)* ทั้งด้านความเสถียรและการรองรับปริมาณธุรกรรม หากความเห็นในชุมชนสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ภายในปีนี้ BIP-119 จะกลายเป็นการอัปเกรดใหญ่ครั้งแรกของบิตคอยน์นับตั้งแต่ ‘แท็ปรูต’(Taproot) เมื่อปี 2021

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน นักพัฒนาบิตคอยน์จำนวน 66 รายได้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องให้มีการนำ BIP-119 และข้อเสนออีกฉบับคือ BIP-348(CSFS) มาใช้ โดยชี้ว่าแนวทางเหล่านี้จะนำมาซึ่ง *‘ประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ’* ต่อผู้ใช้งานและระบบโดยรวม เช่น การยกระดับความปลอดภัยของบิตคอยน์เลเยอร์แรก และการเพิ่มศักยภาพในการรองรับธุรกรรมผ่านเลเยอร์สอง รายชื่อผู้สนับสนุนรวมถึงชื่อที่รู้จักกันดีอย่าง เจมสัน ล็อปป์(Jameson Lopp), แอนดรูว์ โพเอลสตรา(Andrew Poelstra) รวมถึงนักพัฒนาจากบริษัทต่างๆ อย่าง แองเคอริจ, ลุกโซ ไมนิง และอัลเพน แล็บส์

สตีเวน รูส(Steven Roose) ซีอีโอของบริษัท Second กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้การเจรจาเรื่องฉันทามติคืบหน้าไปมาก และมีโอกาสสูงที่ BIP-119 จะได้รับการอนุมัติภายในสิ้นปี เขายังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า OP_CTV จะเปิดทางให้เกิดโครงสร้าง ‘ไลท์นิง แชนแนล’ ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ภายใต้เทคโนโลยี ‘Lightning Symmetry’ ได้

ด้าน แดเนียล เกรย์(Daniel Gray) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก ฟิเดลิตี้ ดิจิทัล แอสเซตส์ ระบุว่า การอัปเกรดใดๆ ต่อบิตคอยน์มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเครือข่ายมีโครงสร้างแบบกระจายอำนาจ เขายืนยันว่า *BIP-119 เป็นก้าวสำคัญ* โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยผ่านวอลต์ และความยืดหยุ่นในการจัดการสินทรัพย์ เขายังเสริมว่า *ฟีเจอร์วอลต์* มีความสามารถในการจำกัดปริมาณเหรียญและปลายทางการโอนตามที่ประสงค์ล่วงหน้าได้ ช่วยเพิ่มการควบคุมให้ผู้ใช้โดยเฉพาะในกรณีเก็บสินทรัพย์ระยะยาว

ในจดหมายเปิดผนึกของนักพัฒนา ยังได้ระบุว่าเราสามารถนำ BIP-119 ไปใช้เพื่อปรับปรุง *ความสามารถในการรองรับธุรกรรม, ลดความแออัดของเครือข่าย,* และเพิ่มขีดความสามารถของ *‘สัญญาแบบลอคตามเหตุการณ์’ หรือ DLC (Discrete Log Contracts)* ซึ่งเป็นรูปแบบ ‘สมาร์ตคอนแทรกต์แบบไม่เผยตัวตน’ ที่อนุญาตให้เงินถูกโอนไปยังปลายทางตามผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่กำหนดไว้

อเล็กซ์ ธอร์น(Alex Thorn) จากบริษัท แกแล็กซี ดิจิทัล เขียนในบล็อกเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนว่า หาก BIP-119 ได้รับการใช้งาน จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับ *เครื่องมือเก็บสินทรัพย์แบบปลอดภัย และเทคโนโลยีสะพานเชื่อมระหว่างเลเยอร์-2* ได้ เขายังมองว่า บิตคอยน์อาจเข้าสู่ช่วงของการบูรณาการกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่สร้างบนอีเธอเรียม เช่น อวาแลนช์, โพลิกอน และอาร์บิทรัมด้วย

แต่ถึงแม้จะมีทางออกที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ การอัปเกรดผ่านซอฟต์ฟอร์กก็ยังเผชิญกับ *ความล้มเหลวจากกระบวนการกระจายอำนาจอันเข้มข้น* ของบิตคอยน์เอง เนื่องจากไม่มีองค์กรใดควบคุมดูแลโดยตรง ทำให้ทุกขั้นตอนต้องการฉันทามติจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย แท็ปรูตเองใช้เวลาถึง 4 ปีกว่าจะเปิดใช้งานได้ อีกทั้งประเด็นปัญหาหลังการใช้แท็ปรูต อย่างกรณี *Ordinals* ยิ่งทำให้ชุมชนนักพัฒนามีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น

สำหรับแนวคิด *‘คัฟเวอแนนต์’* ที่จะถูกนำเข้าใจ BIP-119 นั้น เดิมทีถือเป็นโครงสร้างในสมาร์ตคอนแทรกต์ที่ ‘ซับซ้อนและเสี่ยงสูง’ แต่ภายใต้การปรับปรุงนี้จะถูกพัฒนาให้สามารถใช้งานภายใน *บิตคอยน์เลเยอร์แรก* ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น รูบินเคยอธิบายโครงสร้างวอลต์ในรูปแบบที่ทีมสนับสนุนลูกค้าสามารถอนุมัติให้ย้ายจำนวนเหรียญที่ระบุไว้ไปยัง *วอลเล็ตรอง*, จากนั้นค่อยโอนไปยังฮอตวอลเล็ต และที่เหลือกลับไปจัดเก็บในคอลด์วอลเล็ตอีกครั้ง

สุดท้ายนี้ BIP-119 อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบิตคอยน์ในฐานะเครือข่ายที่ *ปลอดภัย พร้อมรับการปรับแต่งตามผู้ใช้ และเปิดโอกาสให้นวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นได้มากขึ้น* ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการทำธุรกรรมมีความสำคัญสูง แนวทางเช่นนี้อาจช่วยดึงดูดผู้ใช้งานกลุ่มใหม่เข้าสู่โลกของบิตคอยน์มากยิ่งขึ้น