วาฬบิตคอยน์(BTC) ที่หายตัวไปนานกว่า 14 ปีในยุค ‘ซาโตชิ’ ได้กลับมาทำธุรกรรมอีกครั้ง โดยกระเป๋าเงินนี้เคยถูกใช้งานครั้งสุดท้ายในเดือนมกราคม 2011 ก่อนจะเงียบหายไปอย่างยาวนาน จนกระทั่งล่าสุดมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่เปิดเผยการมีอยู่ของมันอีกครั้ง ปัจจุบัน กระเป๋าดังกล่าวถือครองบิตคอยน์รวมมูลค่ากว่า *468.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,525 ล้านบาท)*
ตามการรายงานของ Whale Alert แพลตฟอร์มติดตามธุรกรรมคริปโตพบว่า กระเป๋าเงินวาฬนี้มีบิตคอยน์จำนวน *3,962 BTC* ซึ่งถูกซื้อในช่วงที่ราคาบิตคอยน์ยังอยู่ที่ประมาณ 0.37 ดอลลาร์ต่อเหรียญ หรือราว 1,453 ดอลลาร์ในขณะนั้น ถ้าเทียบกับราคาตลาดปัจจุบัน นักลงทุนรายนี้จะได้กำไรถึง *ประมาณ 43,300 เท่า* หรือคิดเป็นสัดส่วนผลตอบแทนที่สูงแบบเหลือเชื่อ
Lookonchain นักวิเคราะห์ข้อมูลออนเชน เปิดเผยว่า กระเป๋าวาฬที่ว่านี้เพิ่งมีการโอนบิตคอยน์จำนวน 0.0018 BTC หรือคิดเป็นราว 25,000 บาท ไปยังที่อยู่อันนิรนาม ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การทำธุรกรรมขนาดเล็กเช่นนี้มักถูกตีความว่าเป็นการทดสอบก่อนทำธุรกรรมขนาดใหญ่ เป็นสัญญาณว่าผู้ถือกระเป๋าอาจกำลังวางแผนเคลื่อนย้ายสินทรัพย์
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วาฬคริปโตที่เคยเงียบหายเริ่มปรากฏตัวกลับมาอีกครั้ง โดยมีกรณีคล้ายกันหลายรายที่กลับมาเคลื่อนไหว และมีการโยกย้าย BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ *2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 27,800 ล้านบาท)* ไปยังที่อยู่กระเป๋าแบบกำกับชื่อ เช่น แพลตฟอร์มของกาแล็กซี ดิจิทัล(Galaxy Digital) ซึ่งกระตุ้นให้วงการเริ่มตั้งคำถามถึง *ตัวตนของผู้โอนจริง* ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า *“โรเจอร์ เวอร์(Roger Ver)”* หรือที่เคยถูกขนานนามว่า ‘พระเยซูแห่งบิตคอยน์’ อาจอยู่เบื้องหลังธุรกรรมเหล่านี้
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการกลับมาของวาฬเหล่านี้อาจมาจากสองสาเหตุหลัก ได้แก่ การกู้คืนรหัสส่วนตัวที่เคยสูญหาย หรือการมองเห็นโอกาสขายหลังการถือครองมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาบิตคอยน์กลับมาแข็งแกร่ง ทำให้แรงจูงใจในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดเพิ่มสูงขึ้น
กรณีนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของโชคหรือความสำเร็จส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึง ‘คุณค่าที่สะสมตามเวลา’ และ ‘ความหายาก’ ของบิตคอยน์อย่างเด่นชัด ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญระบุว่า นักเก็งกำไรควรจับตาความเคลื่อนไหวของกระเป๋าโบราณเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลต่อ *สภาพคล่องและทิศทางราคาของตลาดคริปโต* ในระยะถัดไป
ความคิดเห็น 0