อีเธอเรียม(ETH) กำลังกลับมาเป็นจุดสนใจหลักของตลาดอีกครั้ง ล่าสุด ไมค์ โนโวกราตซ์(Mike Novogratz) ซีอีโอของกาแล็กซี ดิจิทัล เผยผ่านการสัมภาษณ์กับ CNBC ว่า *ราคาอีเธอเรียมอาจทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 5.56 ล้านบาท) ในเร็ว ๆ นี้* โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการเข้ามาของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน
โนโวกราตซ์ระบุว่า นักลงทุนรายใหญ่กำลังเร่งเข้าถือครองอีเธอเรียมจำนวนมาก ซึ่งกำลังกลายเป็น ‘อาวุธลับ’ ของตลาดในตอนนี้ ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า บริษัทอย่างบิทไมน์(BitMine), ชาร์ปลิงค์ เกมมิง(Sharplink Gaming) และดิ อีเธอร์แมชชีน(The Ether Machine) ถือครองอีเธอเรียมรวมกันแล้วมากกว่า *1.3 ล้าน ETH* ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนอุปทานในตลาด
โนโวกราตซ์เสริมว่า “จำนวนอีเธอเรียมที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดถือว่าน้อยมาก ซึ่งทำให้การเข้าซื้อครั้งใหญ่สามารถดันราคาให้พุ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว” เขายังมองว่า *อีเธอเรียมกำลังถูกมองเกินกว่าแค่ ‘โทเคนใช้งาน’ โดยถูกยกให้เป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่าและสร้างรายได้ (Yield-bearing asset)* ในขณะเดียวกัน โปรเจกต์เปิดตัวใหม่หลายแห่งก็เร่งสะสม ETH เพื่อเตรียมการเปิดตัว ซึ่งซ้ำเติมแรงกดดันด้านอุปทานในตลาด
ในแง่ของทิศทางราคา อีเธอเรียมยังแสดงพลังเหนือกว่าบิตคอยน์(BTC) ในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วน ETH/BTC พุ่งขึ้นกว่า 36% ภายในเดือนเดียว ตอกย้ำแนวโน้มแข็งแกร่งของ ETH โดยโนโวกราตซ์ระบุว่า “แม้ผมยังมีมุมมองบวกต่อบิตคอยน์ แต่ในระยะสั้น ผมคิดว่าอีเธอเรียมจะขึ้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนของตลาด”
ส่วนในมุมมองระยะยาว โนโวกราตซ์ยังคงเชื่อมั่นว่าบิตคอยน์มีโอกาสขึ้นถึง *150,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 20.85 ล้านบาท)* แต่เตือนว่าทิศทางของตลาดอาจแปรผันได้ หากธนาคารกลางสหรัฐเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยแบบไม่คาดคิด โดยเฉพาะ *หากทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ก็มีแนวโน้มที่นโยบายการเงินจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดคริปโต*
ข้อมูลจากออนเชนยังสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของอีเธอเรียม โดย *มูลค่าสภาพคล่องของสเตเบิลคอยน์เพิ่มขึ้นเป็น 131,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 182 ล้านล้านบาท)* มากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2024, ในขณะที่มูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่ถูกล็อกอยู่ในระบบ DeFi (TVL) สูงถึง *22.2 ล้าน ETH* ซึ่งสะท้อนว่า กิจกรรมทางการเงินบนอีเธอเรียมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้อัตราส่วนของสเตเบิลคอยน์เทียบกับมูลค่าตลาดโดยรวมลดลงเหลือ 3.4 เท่า บ่งชี้ว่าสภาพคล่องในตลาดยังอยู่ในระดับดี
นักวิเคราะห์หลายรายให้ความเห็นว่า หากอีเธอเรียมสามารถทะลุแนวต้านที่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ได้ ก็จะเข้าสู่ช่วง *“ค้นหาราคาช่วงใหม่” (Price Discovery)* ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงซื้อแบบขั้นบันได และกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวของตลาดในวงกว้าง ขณะที่สายตานักลงทุนเริ่มเบนจากบิตคอยน์มามองอีเธอเรียมมากขึ้น นี่จึงอาจเป็นจังหวะสำคัญสำหรับการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในตลาดคริปโต
ความคิดเห็น 0