ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา วงการสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกได้เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวในการ ‘ควบรวมในแนวดิ่ง’ อย่างชัดเจน โดยบรรดาผู้ออกเหรียญรายใหญ่ต่างเร่งพัฒนาเครือข่ายบล็อกเชนเลเยอร์ 1 ของตัวเอง เพื่อครอบครองอำนาจในโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงิน โดย เทเธอร์(USDT) ได้เปิดตัวเครือข่าย ‘Stable’ ขณะที่ เซอร์เคิล(USDC) ก็เปิดตัว 'Arc’ ซึ่งทั้งสองระบบอนุญาตให้ใช้เหรียญหลักจ่ายค่าธรรมเนียมก๊าซได้โดยตรง นอกจากนี้ Stripe ยังร่วมมือกับบริษัทลงทุน Paradigm พัฒนาเครือข่าย ‘Tempo’ ส่วน ริปเปิล(XRP) ซึ่งมีบล็อกเชนของตนเองอยู่แล้ว ก็ได้ขยายกลยุทธ์ด้วยการเปิดตัวสเตเบิลคอยน์ใหม่ RLUSD
การเดินหน้าสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงทั้งบล็อกเชนและสเตเบิลคอยน์สะท้อนเป้าหมายที่ชัดเจนของแต่ละบริษัท ซึ่งก็คือการขยายอิทธิพลในตลาดการชำระเงิน โดยไม่ได้มุ่งเพียงแค่การออกเหรียญ แต่เป็นการควบคุมทั้งระบบตั้งแต่ค่าธรรมเนียมการใช้งาน เน็ตเวิร์กการทำธุรกรรม ไปจนถึงประสบการณ์ของผู้ใช้งานในลักษณะ ‘ควบคุมแบบต้นทางถึงปลายทาง’ อย่างสมบูรณ์ หากแนวโน้มนี้เดินหน้าต่อไป อาจไม่เพียงเพิ่มการแข่งขันกับบริษัทการเงินหน้าเก่าอย่าง เพย์พาล หรือ วีซ่า แต่ยังมีแนวโน้มที่จะสั่นสะเทือนระบบการเงินดั้งเดิมอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน สองบริษัทที่อาจเข้าร่วมคลื่นนี้ในเร็ว ๆ นี้ ได้แก่ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล และ แพกซอส ที่มีพื้นฐานจากบริการ อาลีเพย์ และ BUSD จากไบแนนซ์ ทั้งคู่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านเทคโนโลยีและเครือข่ายระดับโลก ซึ่งอาจช่วยผลักดันเทรนด์การควบรวมในแนวดิ่งของสเตเบิลคอยน์ให้ลึกและเร็วขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญในวงการมองว่า การเคลื่อนไหวเหล่านี้อาจเร่งให้เกิด ‘การใช้จริงของบล็อกเชนในภาคการชำระเงิน’ ได้เร็วกว่าที่เคย โดยหากบล็อกเชนเลเยอร์ 1 สามารถจัดการค่าธรรมเนียมได้อย่างเหมาะสมและเชื่อมต่อกับบริการต่าง ๆ ได้ดี ก็จะสามารถลดข้อจำกัดเดิมของคริปโตอย่างความผันผวนของราคา และความซับซ้อนของการใช้งานลงได้ ขณะเดียวกัน หากสินทรัพย์ที่ผูกกับสกุลเงินดอลลาร์และเครือข่ายการชำระเงินสามารถรวมเป็นแพลตฟอร์มเดียวกันได้ ก็จะตอบโจทย์ความต้องการในตลาดได้จริง เช่น การโอนเงินข้ามประเทศหรือการจ่ายเงินแบบไมโครเพย์เมนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม โอกาสเหล่านี้ก็มาพร้อมกับ ‘ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ’ เช่นกัน โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มเสนอกฎหมายการกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ในกรอบเดียวกับหลักทรัพย์หรือการชำระเงิน ส่งผลให้ ‘ขีดความสามารถในการปฏิบัติตามกฎหมาย’ กำลังกลายเป็นปัจจัยด้านการแข่งขันใหม่ สำหรับผู้พัฒนาโปรเจกต์เหล่านี้
‘การบรรจบกันของเทคโนโลยีและตลาด’ ที่เกิดขึ้นรอบสเตเบิลคอยน์ จึงกำลังกลายเป็นสัญญาณสำคัญของการปรับโครงสร้างครั้งใหม่ในอุตสาหกรรม โดยเมื่อบล็อกเชน, สเตเบิลคอยน์, และระบบการเงินที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกันโดยเฉพาะ เริ่มทำงานอย่างไร้รอยต่อ ยุคแห่งการใช้คริปโตในเชิงพาณิชย์ก็อาจใกล้เข้ามาอีกก้าวอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0