บริษัทเซอร์เคิล(Circle) ผู้ให้บริการสเตเบิลคอยน์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก กำลังพิจารณาแนวคิดการ *ย้อนกลับธุรกรรม(transaction reversibility)* เพื่อช่วยฟื้นฟูความเสียหายจากการฉ้อโกงหรือการแฮก ซึ่งแนวทางนี้ขัดแย้งโดยตรงกับหลักการสำคัญของ *สกุลเงินดิจิทัล* ได้แก่ ‘การทำธุรกรรมที่ไม่สามารถย้อนกลับได้’ และ ‘การกระจายศูนย์’ จึงคาดว่าจะเกิดการถกเถียงในวงกว้างทั้งในและนอกวงการ
ฮีธ ทาร์เบิร์ต(Heath Tarbert) ประธานบริษัทเซอร์เคิล เปิดเผยกับ Financial Times เมื่อไม่นานมานี้ว่า บริษัทกำลังสำรวจระบบใหม่ที่จะสามารถย้อนกลับธุรกรรมได้ แม้ว่าการทำธุรกรรมจะเสร็จสิ้นแล้วก็ตาม โดยมีเป้าหมายเพื่อติดตั้งกลไกป้องกันเพิ่มเติมในกรณีที่สินทรัพย์ถูกโอนออกไปอย่างไม่ถูกต้องจากอาชญากรรมหรือความผิดพลาดทางเทคนิค เขาระบุว่า “เรากำลังหาวิธีที่สินทรัพย์สามารถโอนย้ายได้ทันที ขณะเดียวกันก็รักษาความสมบูรณ์ของการชำระเงินให้เป็นที่สุด” พร้อมย้ำว่ามี ‘ความตึงเครียดโดยธรรมชาติ’ ระหว่าง *ความรวดเร็วของการทำธุรกรรม* กับ *ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ของธุรกรรม*
ฝ่ายที่สนับสนุนแนวคิดนี้มองว่า *การย้อนกลับธุรกรรม* อาจช่วย *คุ้มครองผู้ใช้งานและเพิ่มความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ* โดยชี้ว่าหากสเตเบิลคอยน์ต้องการได้รับการยอมรับในแวดวงการเงินหลัก การมี ‘การแทรกแซงในระดับหนึ่งจากศูนย์กลาง’ อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ยึดมั่นในปรัชญาของสกุลเงินดิจิทัลกังวลว่า แนวทางดังกล่าวขัดกับหลัก ‘การกระจายศูนย์ของบล็อกเชน’ และเปิดช่องให้ผู้ให้บริการหรือผู้ตรวจสอบสามารถ *ยกเลิกธุรกรรมโดยพลการ* ได้
ประเด็นนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นจากกรณีศึกษาล่าสุดในระบบนิเวศของ ‘*ซุย(SUI)*’ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ ‘เซตัส(Cetus)’ ถูกแฮก ทำให้สูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่า 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,058 ล้านบาท) แต่ผู้ตรวจสอบของบล็อกเชนซุยสามารถ *อายัดทรัพย์สินมูลค่า 162 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,252 ล้านบาท)* ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สถานการณ์ไม่ลุกลาม จากนั้นชุมชนซุิจึงมีมติผ่านกลไกกำกับดูแลเพื่อคืนสินทรัพย์เหล่านี้แก่โครงการต้นทาง ซึ่ง *แสดงให้เห็นว่า ‘การแทรกแซงแบบกึ่งกระจายศูนย์’ ก็สามารถช่วยฟื้นฟูความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ*
การเปลี่ยนทิศทางของเซอร์เคิลในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณว่า *อุตสาหกรรมคริปโตเริ่มตั้งคำถามต่อแนวคิด ‘ธุรกรรมที่ไม่อาจย้อนกลับได้โดยสิ้นเชิง’ และมุ่งสร้างโครงสร้างการจัดการความเสี่ยงที่ใช้งานได้จริงยิ่งขึ้น* อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือ *ธุรกรรมใดที่ควรถูกย้อนกลับได้ และใครคือผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ* ซึ่งยังคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจน และหากระบบนี้พัฒนาเป็นรูปธรรม ก็อาจหมายถึง *การนิยามโครงสร้างพื้นฐานของคริปโตใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง* ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0