ท่ามกลางความกังวลจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่กลับมาปะทุอีกครั้ง ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลกลับได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนขนาดใหญ่ที่ไหลเข้าสู่กองทุนคริปโต โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินทุนทั่วโลกไหลเข้าสู่กองทุนสินทรัพย์ดิจิทัลรวมกว่า 3,170 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 144,063 ล้านบาท) ส่งผลให้ยอดสะสมของปีนี้แตะระดับ 48,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.77 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นระดับที่ทะลุเป้าหมายทั้งปีของปีที่ผ่านมาไปแล้ว
‘บิตคอยน์(BTC)’ คือผู้รับผลประโยชน์หลักจากกระแสเงินทุนดังกล่าว โดยในช่วงสัปดาห์เดียว มีเงินทุนไหลเข้าสู่กองทุนบิตคอยน์ถึง 2,670 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 137,113 ล้านบาท) ทำให้ยอดสะสมในปี 2025 อยู่ที่ 30,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.29 ล้านล้านบาท) แม้มูลค่านี้ยังน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 41,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.8 ล้านล้านบาท) แต่ก็ยังถือว่าเป็นการฟื้นตัวที่แรง ขณะที่ในช่วงสุดสัปดาห์ บิตคอยน์ทำสถิติใหม่ด้วยมูลค่าการซื้อขายวันเดียวสูงถึง 10,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท)
ด้าน ‘อีเธอเรียม(ETH)’ ก็ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิ 338 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 46,980 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม มีการไหลออกอย่างรวดเร็วในวันศุกร์เพียงวันเดียวถึง 172 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 23,930 ล้านบาท) แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาที่ไวของนักลงทุนต่อความผันผวนของตลาด
‘โซลานา(SOL)’ และ ‘ริปเปิล(XRP)’ ที่เคยเป็นความหวังจากกระแสความคาดหวังการอนุมัติ ETF ในสหรัฐ เริ่มมีแรงหนุนน้อยลง โดยมียอดเงินไหลเข้าสุทธิที่ 93.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12,970 ล้านบาท) และ 61.6 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8,570 ล้านบาท) ตามลำดับ
ในกลุ่ม ‘อัลต์คอยน์’ อื่นๆ ก็มีการเคลื่อนไหวน่าสนใจ ‘เชนลิงก์(LINK)’ ได้รับเงินทุน 3.2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 440 ล้านบาท) ‘ซุย(SUI)’ ได้รับ 2.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 320 ล้านบาท) ส่วน ‘เอด้า(ADA)’ และ ‘ไลท์คอยน์(LTC)’ ก็ยังมีเงินไหลเข้าสม่ำเสมอ ขณะที่กองทุนที่ลงทุนแบบหลากหลายสินทรัพย์กลับมีเงินไหลออกกว่า 35 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4,860 ล้านบาท) สะท้อนกลยุทธ์ของนักลงทุนที่เลือกลงทุนในสินทรัพย์เฉพาะเจาะจงมากกว่ากระจายความเสี่ยงแบบกว้าง
ในแง่ภูมิภาค ‘สหรัฐ’ ยังคงครองความเป็นผู้นำ ด้วยยอดเงินไหลเข้าสัปดาห์ละเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 417,000 ล้านบาท) ตามด้วย ‘สวิตเซอร์แลนด์’ 132 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 18,350 ล้านบาท), ‘เยอรมนี’ 53.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7,440 ล้านบาท) และ ‘ออสเตรเลีย’ 9.9 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,370 ล้านบาท) ในขณะที่ ‘สวีเดน’ มีเงินทุนไหลออก 22 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,060 ล้านบาท), ‘บราซิล’ และ ‘ฮ่องกง’ ก็มีการถอนทุนออก 10.1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,400 ล้านบาท) และ 9.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,290 ล้านบาท) ตามลำดับ
ความผันผวนยังคงกดดันตลาดโลก หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาโจมตีทางจีนเรื่องการจำกัดการส่งออกแร่หายาก พร้อมระบุว่า ‘จีนกำลังจับเศรษฐกิจโลกเป็นตัวประกัน’ คำพูดดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีแนสแด็กดิ่งลง 3.5% ขณะที่ S&P500 ลดลง 2.7% ตลาดเข้าสู่โหมดระวังความเสี่ยงชัดเจน
ผลกระทบดังกล่าวไม่พ้นตลาดคริปโต โดยมีการ ‘ล้างพอร์ตครั้งใหญ่’ มูลค่ารวมกว่า 1,900 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 264,100 ล้านบาท) ราคาบิตคอยน์ร่วงลงไปแตะต่ำสุดที่ 102,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.42 ล้านบาท) ก่อนจะดีดกลับขึ้นมาอยู่ที่ 115,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 ล้านบาท)
QCP แคปิตอล วิเคราะห์ว่า "แม้จะมีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก แต่สภาพคล่องทั่วโลกที่ลดลงและความเสี่ยงเชิงนโยบายที่ยังสูง ทำให้ตลาดยังคงอยู่ในโหมดระวังตัว โดยคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปถึงสัปดาห์หน้า"
‘บิตคอยน์ฟันด์’ แม้จะยังไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ของปี 2024 ได้ แต่ก็เป็นสัญญาณว่า ‘ความสนใจของนักลงทุนยังแรง’ ในขณะที่กลุ่มอัลต์คอยน์ก็ยังดึงดูดเงินทุนท่ามกลางความผันผวน เสริมภาพรวมว่าสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงมี ‘ศักยภาพในการลงทุน’ แต่ตราบใดที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคยังไม่คลี่คลาย กลยุทธ์แบบ ‘ป้องกันความเสี่ยง’ ก็ดูจะยังเป็นแนวทางหลักของนักลงทุนในช่วงนี้.
ความคิดเห็น 0