บิทไมน์ อีเมอร์ชัน(BitMine Immersion) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ถือครองอีเธอเรียม(ETH) รายใหญ่ที่สุด เดินหน้าเข้าซื้ออีเธอเรียมในปริมาณมหาศาลอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยอดถือครองทะลุ 3.03 ล้านเหรียญ คิดเป็นมากกว่า *2.5%* ของอุปทานรวมทั้งหมดของอีเธอเรียม โดยเป็นการเข้าใกล้เป้าหมายยุทธศาสตร์ ‘ถือครอง 5%’ ที่บริษัทได้เน้นย้ำมาตลอด
เมื่อวันที่ 13 บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสินทรัพย์ดิจิทัลและเงินสดมูลค่า *12.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ* (ประมาณ 17.9 ล้านล้านวอน) โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปของอีเธอเรียม จำนวนถือครองล่าสุดคือ *3,032,188 ETH* คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย *1 เหรียญละ 4,154 ดอลลาร์* (ประมาณ 5.8 ล้านวอน) นอกจากนี้ยังถือครองบิตคอยน์(BTC) จำนวน 192 เหรียญ และหุ้นของบริษัท เอทโคโฮลดิงส์(NASDAQ: ORBS) มูลค่า 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.87 พันล้านวอน)
การเร่งซื้อเพิ่มของบิทไมน์มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ *การร่วงหนักของตลาดในล่าสุด* ทอม ลี(Tom Lee) ผู้ร่วมก่อตั้งฟันด์สแตรท(Fundstrat) และประธานบอร์ดของบิทไมน์ กล่าวว่า “ภาวะการชำระบัญชีของผู้ใช้เลเวอเรจในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้สินทรัพย์ถูกขายออกจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสให้เข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาต่ำกว่ามูลค่าจริง” เขาเสริมว่า “ความผันผวนอาจเป็นภัยต่อเทรดเดอร์ แต่คือโอกาสซื้อที่หาได้ยากสำหรับนักลงทุน”
บริษัทเปิดเผยว่าในช่วง 5 วันที่ผ่านมา บิทไมน์ได้เพิ่มกำลังซื้ออีเธอเรียมอีก *202,037 เหรียญ* คิดเป็นมูลค่า *834 ล้านดอลลาร์* (ประมาณ 11.6 ล้านล้านวอน) ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์บนแพลตฟอร์ม X อย่าง อาร์คแฮม(Arkham) เผยว่า บริษัทครอบครองอีเธอเรียมในระดับ *เกินกว่า 50%* ของเป้าหมาย ซึ่งมีมูลค่าประเมินที่ *12.52 พันล้านดอลลาร์* (ประมาณ 17.3 ล้านล้านวอน)
จากกระแสความเคลื่อนไหวดังกล่าว ราคาหุ้นบิทไมน์(NYSE: BMNR) ก็พุ่งขึ้นแรง โดยในวันที่ 14 ราคาเพิ่มขึ้น *มากกว่า 8%* มาอยู่ที่ *56.85 ดอลลาร์* (ประมาณ 79,000 วอน) และมีการปรับเล็กน้อยในช่วงหลังตลาดปิด ทั้งนี้ ราคาหุ้นได้พุ่งขึ้นมามากกว่า *1,200%* นับตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน เมื่อเริ่มมีการสะสมอีเธอเรียมอย่างจริงจัง
มีการตั้งข้อสังเกตว่าความร่วงแรงของตลาดล่าสุด เกิดจากการขายชอร์ตจำนวนมาก โดยเฉพาะก่อนหน้าการประกาศสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ ความผันผวนครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้ใช้งานกว่า *1.6 ล้านบัญชี* ถูกชำระบัญชีแบบบังคับ และเกิดการขาดทุนขั้นสูง
นอกจากบิทไมน์แล้ว บริษัทอื่นที่ถือครองอีเธอเรียมจำนวนมาก ได้แก่ ชาร์ปลิงค์เกมมิ่ง(SharpLink Gaming) มีการถือครองอีเธอเรียม *838,727 เหรียญ* คิดเป็นมูลค่า *3.54 พันล้านดอลลาร์* (ประมาณ 4.9 ล้านล้านวอน) ขณะเดียวกัน ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) แห่งบริษัทสแตรทิจี(Strategy) ได้เข้าซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีก 220 เหรียญ ที่มูลค่า *27 ล้านดอลลาร์* (ประมาณ 375 พันล้านวอน)
ราคาของอีเธอเรียมยังคงมีความผันผวน โดยในวันที่ 14 ราคาเคยพุ่งขึ้นไปถึง *4,285 ดอลลาร์* (ประมาณ 5.95 ล้านวอน) ก่อนจะปรับตัวกลับมาอยู่ในช่วง *4,100 ดอลลาร์* (ประมาณ 5.7 ล้านวอน) นักวิเคราะห์บางรายคาดว่า ราคาน่าจะมีโอกาสทะลุระดับ *หลักหมื่นดอลลาร์* ได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ หรือไตรมาสแรกของปีหน้า
ขณะเดียวกัน ประเทศภูฏานได้ริเริ่มใช้ *อีเธอเรียมเป็นระบบพื้นฐานสำหรับโครงสร้างดิจิทัลไอดีระดับประเทศ* เป็นการสะท้อนถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและการยอมรับในระดับโลกของอีเธอเรียมอย่างเป็นรูปธรรม
ความคิดเห็น 0