รัฐบาลสหรัฐอาจกลายเป็นผู้ถือครอง *บิตคอยน์(BTC)* รายใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากศาลรัฐบาลกลางสหรัฐเปิดเผยว่ากำลังดำเนินการยึดทรัพย์สินดิจิทัลจำนวนมูลค่ากว่า 20 ล้านล้านวอน (ประมาณ 14.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5 แสนล้านบาท) ในคดีฉ้อโกงการลงทุนใน *คริปโตเคอร์เรนซี* ที่เชื่อมโยงกับขบวนการระดับโลก
เมื่อวันที่ 9 (เวลาท้องถิ่น) กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเผยว่า ได้ยื่นฟ้องเพื่อยึด *บิตคอยน์* จำนวน 127,271 เหรียญ ซึ่งcมูลค่าตามราคาตลาด ณ เวลานั้นประมาณ 144 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 20.16 ล้านล้านวอน โดยเหรียญเหล่านี้เชื่อมโยงกับ *เฉิน จื้อ(Chen Zhi)* ผู้ก่อตั้งกลุ่ม *พรินซ์ กรุ๊ป* ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่ในกัมพูชา
ตามรายงานของกระทรวงยุติธรรม เฉิน จื้อ ถูกกล่าวหาว่านำขบวนการฉ้อโกงซึ่งพึ่งพาการ ‘ใช้แรงงานบังคับ’ และ ‘กลโกงการลงทุนออนไลน์’ หรือที่รู้จักกันว่า *โรแมนซ์สแกม* จนสามารถหลอกลวงนักลงทุนทั่วโลกให้ฝากเงินเข้ากองทุนปลอมที่เกี่ยวข้องกับ *คริปโตเคอร์เรนซี* และนำสินทรัพย์เหล่านั้นแปลงเป็น *บิตคอยน์* แล้วสะสมอยู่ภายในกลุ่มพรินซ์
หากการยึดทรัพย์ในครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ รัฐบาลสหรัฐจะได้ครอบครอง *บิตคอยน์* มากที่สุดในประวัติการณ์ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในมิติของรัฐบาลกับสินทรัพย์ดิจิทัล ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐมีประสบการณ์ในการยึด *คริปโตเคอร์เรนซี* จากคดีอาชญากรรมหลายคดี และหากรวมยอดที่คาดว่าจะได้รับจากคดีนี้ *จำนวนดังกล่าวจะเพิ่มมูลค่าถึง 1.946 พันล้านดอลลาร์* หรือราว 2.6 ล้านล้านวอน
*ความคิดเห็น* จากผู้เชี่ยวชาญระบุว่า คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐในการควบคุมและดำเนินการยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ *คริปโตเคอร์เรนซี*” บริษัทเชิงวิเคราะห์ฟินเทคระดับโลกอย่าง *Chainalysis* กล่าวว่าการดำเนินการยึดครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า *“รัฐบาลสหรัฐมีความจริงจังในการจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์”* และการเดินหน้าครั้งนี้อาจสร้างอิทธิพลต่อการสร้างมาตรการใหม่ๆ ทั้งในเชิงต่อต้านการฟอกเงินและการฉ้อโกงด้านการลงทุน
ขณะนี้ ทางการสหรัฐเดินหน้าฟ้องร้องเฉิน จื้อ และผู้เกี่ยวข้องจากกลุ่มพรินซ์เพิ่มเติมในทางอาญา โดยระบุว่าจะประกาศแผนการจัดการกับ *บิตคอยน์* ที่ถูกยึดในขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ แวดวงสินทรัพย์ดิจิทัลและการจัดการสินทรัพย์ทั่วโลกต่างจับตาดูความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความเป็นไปได้ในการ ‘เพิ่มการควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับรัฐบาล’ ในอนาคต
ความคิดเห็น 0