อีเธอเรียม(ETH) กำลังสร้างกระแสคาดหวังต่อการดีดตัวอีกครั้ง หลังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับดัชนีหุ้นขนาดเล็กอย่าง ‘รัสเซล 2000’ ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าความเสี่ยงกำลังกลับมาเป็นที่สนใจ นักลงทุนบางส่วนเริ่มมองเห็นศักยภาพของอีเธอเรียมในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกท่ามกลางกระแส ‘Risk-On’
จากรายงานของตลาดหุ้นสหรัฐ ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าดัชนีรัสเซล 2000 ซึ่งประกอบด้วยบริษัทขนาดเล็ก กลับมาฟื้นตัวและพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดครั้งใหม่ นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับความผันผวนของอีเธอเรียม เนื่องจากทั้งสองตลาดต่างก็มีจุดร่วมสำคัญ ได้แก่ ‘สภาพคล่องสูง’ และ ‘โอกาสการเติบโตเฉพาะกลุ่ม’ ส่งผลให้มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกัน
ปัจจุบัน อีเธอเรียมมีราคายืนเหนือแนวรับสำคัญที่ 3,700 ดอลลาร์ หรือประมาณ 5.14 ล้านบาท และสามารถฟื้นคืนเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และ 100 วัน ได้สำเร็จ ขณะที่ระดับแนวรับระยะยาวที่ 200 วันตั้งอยู่ที่ราว 3,500 ดอลลาร์ หรือ 4.86 ล้านบาท ซึ่งบ่งบอกว่าทิศทางขาขึ้นยังไม่หมดไป หากสามารถทะลุแนวต้านชั่วคราวที่ 4,220–4,280 ดอลลาร์ (ราว 5.87–5.95 ล้านบาท) ได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ 4,500–4,650 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6.25–6.46 ล้านบาท
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินกล่าวว่า “ภาวะกระทิงของตลาดหุ้นขนาดเล็กมักสะท้อนถึงการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ซึ่งนั่นส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีความไวสูงเช่น บิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม” เขายังเสริมว่า “อีเธอเรียมอาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่เร่งตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวัฏจักรสภาพคล่องที่เปลี่ยนแปลงในขณะนี้”
จากมุมมองเชิงโครงสร้าง อีเธอเรียมก็ยังแสดงศักยภาพเชิงบวก เนื่องจากมีแหล่งรายได้ในอนาคตจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การชำระบัญชีผ่านเลเยอร์ 2 การรับดอกเบี้ยจากการสเตก(staking) และผลประโยชน์จากเทคโนโลยีโรลอัป ส่งผลให้นักวิเคราะห์มองว่าความคาดหวังในเชิงการเติบโตของอีเธอเรียมมีความคล้ายคลึงกับหุ้นขนาดเล็กที่มีอนาคต
อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายเตือนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอีเธอเรียมกับตลาดหุ้นขนาดเล็กอาจไม่มั่นคง หากแรงผลักดันในตลาดหุ้นในตอนนี้มาจากการปิดสถานะชอร์ตชั่วคราว หรือหากอัตราเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง แนวโน้มการปรับตัวขึ้นของอีเธอเรียมอาจสะดุดได้ทันที นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ของการเพิ่มปริมาณเหรียญในตลาด เช่น เงินฝากในกระดานเทรดที่เพิ่มขึ้น, การเก็งกำไรจากกองทุน ETF หรือการถอนเหรียญจากการสเตกพร้อมกัน ยังอาจสร้างแรงกดดันด้านซัพพลายได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าอีเธอเรียมจะมีโอกาสเป็นผู้นำการฟื้นตัวหากภาวะตลาดแบบ Risk-On ยังดำเนินต่อไป แต่นักลงทุนยังควรเฝ้าระวัง ‘จุดยกเลิกแนวโน้มทางเทคนิค’ และหลีกเลี่ยงการเทรดโดยพึ่งพาตลาดหุ้นแบบไร้สติ “ความคิดเห็น” จากผู้เชี่ยวชาญระบุว่า กลยุทธ์ที่ยึดโยงแค่กราฟราคาหรือการเคลื่อนไหวของหุ้นอาจเสี่ยงมากเกินไปในตลาดปัจจุบัน
ความคิดเห็น 0