ตลาดบิตคอยน์(BTC) กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ ภายใต้แรงเทขายของสถาบันขนาดใหญ่ โดยมีเหตุผลสำคัญจากการซื้อสะสมที่ไม่คาดคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 24 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยึด **บิตคอยน์ 127,000 เหรียญ (ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท)** จากกลุ่ม Prince Group ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแชร์ลูกโซ่และเหมืองคริปโตผิดกฎหมาย ส่งผลให้จำนวนการถือครองบิตคอยน์ของรัฐบาลพุ่งขึ้นถึง 64% ภายในวันเดียว คิดเป็น 3.5% ของปริมาณทองคำสำรองของชาติ สถานการณ์นี้ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนจากความไม่แน่นอนอย่างมาก
ขณะนี้ราคาบิตคอยน์ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 106,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.7 ล้านบาท) โดยต้องเผชิญแรงขายรุนแรงจากเงินทุนกว่า 1.23 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) ที่ไหลออกจากกองทุน ETF ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรดานักลงทุนระยะสั้น แม้ว่าราคาจะเริ่มชะลอการลดลง แต่ระดับแนวรับที่สำคัญถอยร่นไปอยู่ที่ 101,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 14 ล้านบาท) และหากราคาทะลุแนวรับจิตวิทยา 98,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 13.7 ล้านบาท) ลงมาได้ อาจเข้าสู่ช่วง ‘ปรับฐาน’ ที่ลึกยิ่งขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง สกุลเงินดิจิทัลอย่างริปเปิล(XRP) กลับแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฐานนักลงทุนระยะยาว แม้ราคาจะอ่อนตัวลง โดยข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนอย่าง Santiment ระบุว่า จำนวนกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ถือ XRP มากกว่า 10,000 เหรียญ พุ่งแตะ **317,500 กระเป๋า ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์** การเพิ่มขึ้นนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกว่ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันเชื่อว่าตลาดกำลังอยู่ในจุดต่ำสุด
ขณะเดียวกัน ดัชนี MVRV (อัตราส่วนกำไรขาดทุนที่ถูกบันทึกของผู้ถือ XRP) ยังคงอยู่ที่ -15.3% ซึ่งสะท้อนว่าราคาอยู่ในช่วง 'ถูกตีมูลค่าต่ำเกินจริง' โดยผู้เชี่ยวชาญในตลาดเผยว่า ในกรอบเวลาระยะกลางถึงระยะสั้น ราคาน่าจะทรงตัวในช่วง 2.20-2.25 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.05-3.13 ล้านบาท) โดยแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1.95 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.71 ล้านบาท) ส่วนแนวต้านเพื่อการฟื้นตัวรอบใหม่อยู่ใกล้ระดับ 2.65 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.68 ล้านบาท)
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจคือการแฮ็กขนาดเล็กบนแพลตฟอร์มของคอยน์เบส โดยบัญชีฝ่ายสนับสนุนลูกค้าอย่างเป็นทางการถูกแฮ็ก และถูกโพสต์ด้วยข้อความปลอมเชิญชวนลงทุนในพรีเซลล์ของ ‘$COINBASE’ อย่างไรก็ตาม มูลค่าสินทรัพย์ที่ถูกขโมยไปมีเพียง **33 ดอลลาร์ (ประมาณ 45,000 บาท)** เท่านั้น แม้ระบบรักษาความปลอดภัยจะยังทำงานตามปกติ แต่เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของ *การโจมตีทางวิศวกรรมสังคม* ที่ต้องจับตามอง เพราะอาจสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์
แม้ตลาดคริปโตจะยังเผชิญแรงขายต่อเนื่อง การขยายการถือครองบิตคอยน์เพิ่มเติมของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สร้างความเชื่อมั่นใหม่ในหมู่นักลงทุน โดยหลายฝ่ายมองว่าการดำเนินการครั้งนี้อาจสะท้อนถึง ‘*ยุทธศาสตร์ระยะยาวในระดับประเทศ*’ ที่แท้จริง ในฝั่งของโซลานา(SOL) มีสัญญาณเชิงบวกเพิ่มขึ้นหลังมีการออกเหรียญ USDC มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเชื่อมโยงกับความคาดหวังต่อการเปิดตัว ETF ที่อาจเกิดขึ้น
ในเชิงเทคนิค บิตคอยน์ต้องฝ่าต้านที่ 112,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.5 ล้านบาท) ให้ได้เพื่อคงแนวโน้มขาขึ้น ส่วนอีเธอเรียม(ETH) มีจุดพิจารณาสำคัญที่ 3,737 ดอลลาร์ (ประมาณ 5.19 ล้านบาท) และหากทะลุระดับ 4,050 ดอลลาร์ (ประมาณ 5.62 ล้านบาท) ไปได้ จะยืนยันการเริ่มต้นรอบการฟื้นตัวอีกครั้ง ตลาดในช่วงสัปดาห์ข้างหน้าจึงอาจเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ตัดสินว่าราคาจะกลับตัวขึ้นหรือปรับตัวลงต่ออีกครั้ง
ความคิดเห็น 0