สหภาพยุโรป(EU) ประกาศบังคับใช้ ‘มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดที่ 19’ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 โดยถือเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดบทลงโทษอย่างเฉพาะเจาะจงต่อภาค *คริปโตเคอร์เรนซี* นับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้น มาตรการใหม่นี้รวมถึงการ *ห้ามอย่างเด็ดขาด* ในการให้บริการชำระเงินด้วยคริปโตจากบริษัทที่มีฐานในรัสเซีย รวมถึงการกระจายซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งยุโรป
การประกาศคว่ำบาตรครั้งนี้ยังขยายขอบเขตไปยังภาคพลังงานของรัสเซีย ธนาคารหลัก และหน่วยงานใน *จีน, คีร์กีซสถาน, ทาจิกิสถาน, ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE)* ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทในการช่วยรัสเซียหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตร โดย *การควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีและบริการที่เกี่ยวกับคริปโต* EU ส่งสัญญาณความมุ่งมั่นที่จะสกัดกั้นช่องทางหลบหลีกการ制 จากฝั่งรัสเซียอย่างเด็ดขาด
คายา คัลลาส(Kaja Kallas) ผู้แทนระดับสูงด้านความมั่นคงและการต่างประเทศของ EU แถลงผ่านบัญชีทางการว่า “เราพึ่งผ่านความตกลงบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดที่ 19 โดยครอบคลุมทั้งภาคพลังงาน ธนาคาร แพลตฟอร์มคริปโต รวมถึงองค์กรในจีนบางแห่ง เราจะควบคุมการเดินทางของนักการทูตรัสเซีย เพื่อขัดขวางยุทธศาสตร์ปั่นป่วนของมอสโก”
ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา EU เดินหน้าคว่ำบาตรและตรวจสอบแนวทางที่รัสเซียพยายาม *ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางคลังทางเศรษฐกิจ* โดยมีรายงานเพิ่มขึ้นว่ากลุ่มทุนรัสเซียหันมาใช้คริปโตในการฟอกเงินและทำธุรกรรมข้ามพรมแดนเพื่อหลีกเลี่ยงระบบการเงินของตะวันตก ส่งผลให้ *คริปโตเคอร์เรนซี* กลายเป็น ‘สมรภูมิใหม่’ ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
มาตรการล่าสุดนี้จึงถูกจับตามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ *การคุมเข้มนโยบายกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับนานาชาติ* โดยเฉพาะจากกลุ่มพันธมิตรตะวันตกทั้ง EU และสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มว่าจะเร่งติดตามความเคลื่อนไหวของระบบนิเวศคริปโตที่เชื่อมโยงกับรัสเซียอย่างใกล้ชิด *ความคิดเห็น*: การคว่ำบาตรครั้งนี้อาจกลายเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ผู้ประกอบธุรกิจคริปโตทั่วโลกตื่นตัวและส่งเสริมมาตรฐานการปฏิบัติที่โปร่งใสมากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0