ธนาคารอายันเดซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารเอกชนรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน ประกาศ ‘ล้มละลาย’ อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ทรัพย์สินของลูกค้ากว่า 42 ล้านรายต้องถูกโยกย้ายไปยังธนาคารแห่งชาติเมลลีซึ่งเป็นธนาคารของรัฐ แม้ทางการจะพยายามเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่เหตุการณ์นี้กลับสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้างและสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเงินภายในประเทศอย่างชัดเจน
เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา สำนักข่าว Iran International รายงานว่า ธนาคารอายันเดไม่สามารถรับภาระหนี้สะสมกว่า 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 178,900 ล้านบาท) และพันธะทางการเงินอีกกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 117,000 ล้านบาท) ส่งผลให้ถูกตัดสินให้ล้มละลายอย่างเป็นทางการตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งนี้ซึ่งมีสาขากว่า 270 แห่งทั่วประเทศ ได้รับความนิยมทั้งในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและองค์กร แต่ปัญหาการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีคุณภาพและการขาดทุนอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้
แม้ธนาคารกลางของอิหร่านจะพยายามอัดฉีดทุนเพื่อพยุงสถานการณ์ แต่กลับประสบปัญหาการขาดแคลนทุนสำรองระหว่างประเทศและความกดดันทางด้านการเงิน ซึ่งทำให้ความพยายามดังกล่าวล้มเหลวและต้องตัดสินใจปิดกิจการในที่สุด
ลูกค้ามากกว่า 42 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ จะถูกโอนย้ายบัญชีและทรัพย์สินทั้งหมดไปยังธนาคารเมลลี การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้สร้างความกังวลขึ้นในวงการการเงิน เนื่องจากภาระในการดูแลทรัพย์สินจำนวนมหาศาลอาจกระทบต่อเสถียรภาพการเงินของธนาคารเมลลีเอง "ความคิดเห็น" ของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในท้องถิ่นสะท้อนถึงความไม่มั่นใจ และมองว่าการล้มของอายันเดเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปัญหาระยะยาวในระบบการเงินที่เปราะบาง
การล้มละลายของธนาคารรายใหญ่ในครั้งนี้ได้ฉายภาพปัญหาเรื้อรังในเศรษฐกิจอิหร่านอย่างชัดเจน ตั้งแต่ผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ การขาดการควบคุมภายใน ไปจนถึงมาตรฐานการปล่อยกู้ที่ไร้ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือในระบบการเงินจึงลดลงอย่างรวดเร็ว นักวิเคราะห์ในพื้นที่รายหนึ่งกล่าวว่า “หากไม่มี *การปฏิรูประบบการเงินอย่างจริงจัง* อิหร่านอาจต้องพบกับวิกฤตธนาคารเพิ่มเติมในเวลาอันใกล้นี้”
ขณะเดียวกัน ประชาชนภายในประเทศเริ่มหันไปหาทางเลือกทางการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เช่น *บิตคอยน์(BTC)* และ *อีเธอเรียม(ETH)* ซึ่งถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเก็บรักษามูลค่าในสถานการณ์ที่ระบบธนาคารไม่มั่นคง ความต้องการคริปโตในอิหร่านกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะมีความพยายามจากรัฐบาลในการควบคุมตลาด แต่กิจกรรมในตลาดมืดกลับโตขึ้นสวนกระแส
"ความคิดเห็น" ของนักวิเคราะห์มองว่า แนวโน้มที่ผู้คนจำนวนมากหันไปใช้คริปโตไม่ใช่แค่เพราะความนิยมในเทคโนโลยี แต่เป็นการแสดงออกถึงความไม่เชื่อมั่นในสถาบันการเงินของประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางการเงินเช่นนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่พลิกบทบาทของ *สินทรัพย์ดิจิทัลในอิหร่าน* ไปอีกขั้นในอนาคต
ความคิดเห็น 0