ยูเรียน ทิมเมอร์(Jurrien Timmer) หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจมหภาคโลกของฟิเดลิตี(Fidelity) หนึ่งในบริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าหุ้นที่อิงกับ *บิตคอยน์(BTC)* และบริษัทเหมืองแร่ทองคำคือสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ โดยทั้งสองกลุ่มนี้มีผลตอบแทนพุ่งขึ้นมากกว่า 150% กลายเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่แยกตัวออกจากตลาดหลักอย่างชัดเจน
ทิมเมอร์แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิม Twitter) ว่า "สินทรัพย์ที่มีผลประกอบการโดดเด่นที่สุดขณะนี้คือบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับราคาบิตคอยน์และหุ้นเหมืองทอง" โดยระบุว่า ความร้อนแรงของหุ้นกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความต้องการใน ‘สินทรัพย์เสี่ยงสูง’ ที่ให้ผลตอบแทนแตกต่างจากสินทรัพย์เดิมในตลาด
นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ‘ทองคำ’ ซึ่งจัดว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิม และ ‘หุ้นมีม’ ที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูงและอิงกระแสการลงทุน กลับมีผลตอบแทนในระดับใกล้เคียงกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่นักลงทุนเลือกกลยุทธ์ตามระดับความเสี่ยงที่ตนยอมรับได้
ในปีนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ *ปัญญาประดิษฐ์* พร้อมกับหุ้นธนาคารยุโรปก็ขยับขึ้นกว่า 50% เช่นกัน โดยสะท้อนบรรยากาศ ‘เสี่ยงได้ เสี่ยงไป’ (Risk-On) ซึ่งเริ่มเด่นชัดในตลาดการเงินโลก
อย่างไรก็ตาม ราคาของ *บิตคอยน์* เองกลับเพิ่มขึ้นเพียงราว 20% เมื่อเทียบกับต้นปี โดยเป็นผลตอบแทนในระดับเดียวกับหุ้นกลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคที่เน้นจ่ายเงินปันผลอย่างมั่นคง ความเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจตอกย้ำว่า แม้บิตคอยน์จะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มี ‘ความหวังสูงและผันผวนมาก’ แต่นักลงทุนในเวลานี้กลับยังไม่มั่นใจในทิศทางของมัน
น่าสนใจว่าผลตอบแทนของบิตคอยน์ในระดับนี้ อยู่ในช่วงใกล้เคียงกับดัชนี *S&P500* ซึ่งยิ่งแสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของบิตคอยน์ช่วงหลังเริ่มมีความสัมพันธ์กับตลาดการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้น
*ความคิดเห็น*: การที่หุ้นที่พึ่งพาบิตคอยน์ในการสร้างรายได้กลับให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในบิตคอยน์โดยตรง อาจเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับนักลงทุนสถาบันที่ต้องการจัดสรรเงินเข้าสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ความมั่นใจต่อทิศทางของบิตคอยน์ยังไม่ชัดเจน ทิศทางตลาดคริปโตในช่วงปลายปีจึงน่าจับตาอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น 0