บิตคอยน์(BTC) ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน ท่ามกลางสัญญาณชัดเจนของ ‘การไหลออกของเงินทุน’ จากกองทุน ETF และการกลับตัวในโครงสร้างการเงินของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Treasury - DAT) โดยนิวยอร์กดิจิทัลอินเวสต์เมนต์กรุ๊ป (NYDIG) ชี้ว่านี่ไม่ใช่เพียงการอ่อนแรงของความรู้สึกนักลงทุน แต่เป็น ‘การไหลออกของทุนจริง’ ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาด
เกร็ก ชิโปลลาโร (Greg Cipolaro) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ NYDIG ระบุในรายงานล่าสุดว่า ตลอดช่วงตลาดขาขึ้นที่ผ่านมา การไหลเข้าอย่างต่อเนื่องของทุนสู่กองทุน ETF แบบสปอต และการเก็บสะสมสินทรัพย์ดิจิทัลโดยบริษัทต่าง ๆ เคยเป็นแรงหนุนสำคัญของราคาบิตคอยน์ อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุการณ์เทขายครั้งใหญ่เมื่อต้นเดือนตุลาคม กระแสการไหลเข้าของ ETF ได้เปลี่ยนทิศทาง, ส่วนต่างราคาที่เกิดจากการถือครองบิตคอยน์ในพอร์ตของบริษัทต่าง ๆ (Treasury Premium) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และอุปทานของเหรียญสเตเบิลคอยน์ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดชี้ไปยังการเสื่อมถอยของสภาพคล่องในตลาด
ชิโปลลาโรอธิบายว่า “เมื่อตัวจักรกลไกการลงทุนในตลาดพังลง ตลาดก็มักจะเข้าสู่รูปแบบที่คาดการณ์ได้ เช่น สภาพคล่องที่ลดลง การใช้เลเวอเรจที่พยายามฟื้นฟูแต่ไม่เกิดผล และเรื่องราวการสนับสนุนราคาที่เคยได้ผลก็ไม่สามารถดึงดูดเงินทุนได้อีก” พร้อมย้ำว่า “แม้ว่าข่าวหรือเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ แต่กลไกที่อยู่เบื้องหลังนั้นเหมือนเดิม หากวงจร ‘ลูปปฏิกิริยา’ ที่เคยทำให้ตลาดพุ่งขึ้นหยุดลง แรงขาลงก็จะเริ่มต้นจากจุดนั้น”
ในรอบตลาดนี้ แม้ ETF แบบสปอตจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จสูงสุดของบิตคอยน์ แต่สถานะของมันก็เริ่มเปลี่ยนจาก ‘แหล่งทุนที่เชื่อถือได้’ กลายเป็น ‘แรงกดดันสำคัญ’ เนื่องจากปัจจัยภายนอกอย่างการตึงตัวของสภาพคล่องโลก ความไม่แน่นอนเชิงมหภาค ความตึงเครียดในโครงสร้างตลาด และการเปลี่ยนแปลงในจิตวิทยานักลงทุน
อย่างไรก็ดี จุดที่น่าสนใจคือ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้นำไปสู่การลดลงของส่วนแบ่งตลาดของบิตคอยน์ ชิโปลลาโรกล่าวว่า “เมื่อเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่น บิตคอยน์ยังเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการพิสูจน์และมีสภาพคล่องสูงที่สุด นักลงทุนจึงย้ายเงินสู่บิตคอยน์ในช่วงตลาดปั่นป่วน” โดยชี้ให้เห็นว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในวัฏจักรก่อนหน้า
ปรากฏการณ์อ่อนตัวล่าสุดของบิตคอยน์จึงไม่ได้เป็นเพียงการปรับฐานชั่วคราว แต่สะท้อนโครงสร้างตลาดที่เปลี่ยนไป ซึ่งเกิดจากกระแสไหลกลับของเงินทุนผสมผสานกับแรงกดดันจากปัจจัยมหภาค ดังนั้นสิ่งสำคัญในตอนนี้คือการจับตาทิศทางของเมตะเทรนด์ ไม่ใช่แค่การฟื้นตัวทางเทคนิคหรือข่าวดีรายตัว
*ความคิดเห็น*: การฟื้นตัวของตลาดอาจขึ้นกับปริมาณการไหลของเงินทุนใน ETF และทิศทางของสเตเบิลคอยน์ ซึ่งสามารถใช้เป็น ‘สัญญาณนำ’ ของจุดเปลี่ยนในวัฏจักรขาลงนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ.
ความคิดเห็น 0