ตลาดคริปโตปี 2025 ปิดฉากลงด้วยการเคลื่อนไหวที่ ‘ดราม่า’ ทั้งการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและการร่วงลงแบบไม่คาดคิด โดยบิตคอยน์(BTC) สามารถสร้าง ‘จุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล’ ได้สำเร็จ ขณะเดียวกันสกุลเงินดิจิทัลอื่นอย่างอีเธอเรียม(ETH) และริปเปิล(XRP) ก็กลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง แต่ยังคงมีปัจจัยเชิงลบอย่าง ‘การล้างพอร์ตครั้งใหญ่’ และภาวะเลื่อมสภาพคล่องที่ท้าทายตลาด
ตามรายงานจาก *Kaiko Research* เมื่อวันที่ 24 บิตคอยน์เริ่มต้นปีที่ระดับ 90,000–100,000 ดอลลาร์ และเคยเผชิญแรงขายชั่วคราวหลังการประกาศมาตรการภาษีในช่วง ‘วันปลดแอก’ เดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม ‘ดอลลาร์อ่อนค่า’ การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และกระแสการเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกลับมากระตุ้นราคาให้แข็งแกร่งขึ้น โดยในเดือนสิงหาคม BTC พุ่งขึ้นเทียบกับดอลลาร์ถึง 26% ขณะที่เมื่อเทียบกับเงินวอนและยูโร ก็เพิ่มขึ้น 10–19% ส่งผลให้เกิดผลตอบแทนที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุน
รายงานระบุว่า ตลาดคริปโตยังคง ‘อ่อนไหวต่อปัจจัยจากสหรัฐฯ’ อย่างชัดเจน และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศกดดันราคาบิตคอยน์โดยตรง
ในแง่ของสภาพคล่อง ปี 2025 ถือเป็นปีที่มีการ ‘ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ’ จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันและความชัดเจนด้านกฎระเบียบ โดยตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน ตลาด BTC มีค่าความลึกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าปริมาณซื้อขายแบบ spot จะไม่มาก แต่ภาพรวมสภาพคล่องยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง
มีรายงานว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม บริษัทกว่า 98 แห่ง ได้ระดมทุนหรือประกาศแผนระดมทุนรวมกว่า 90,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เร่งกระแสเงินไหลเข้าสู่ตลาด โดย *Kaiko Research* วิเคราะห์ว่าเงินทุนจากสถาบันเหล่านี้มีบทบาท ‘ช่วยตั้งแนวรับในตลาด’ ป้องกันการปรับฐานครั้งใหญ่ได้ในระดับหนึ่ง
ในฝั่งของอัลต์คอยน์ XRP ของริปเปิลสามารถฟื้นตัวขึ้นแตะระดับ 2–3 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ขณะที่อีเธอเรียม(ETH) ก็สามารถทำลายสถิติระดับสูงสุดในปี 2021 ได้อีกครั้งหลังจากพักฐานมานานเกือบ 4 ปี การปรับตัวขึ้นของเหรียญเหล่านี้มีส่วนสัมพันธ์กับ ‘แนวโน้มของบิตคอยน์’ และโครงการก็มีการพัฒนาด้านพื้นฐานควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่ได้ราบรื่นทั้งหมด เพราะในวันที่ 10 ตุลาคม หลังการประกาศภาษี ตลาดได้เผชิญกับเหตุการณ์ ‘ล้างพอร์ตครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์’ BTC และเหรียญหลักร่วงลงมากถึง 60% ใน 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะที่ Bybit และ OKX มีการล้างโพสิชันฝั่งซื้อคิดเป็นมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าการล้างพอร์ตรวมสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโพสิชัน leverage ที่ไม่มีการวางแผนป้องกันความเสี่ยง
*ความคิดเห็น*: เหตุการณ์นี้สะท้อนอีกครั้งว่า ระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลางยังเปราะบาง และผู้ใช้อาจไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเพียงพอจากความผันผวนของตลาด
ด้านสเตเบิลคอยน์ ปีนี้เป็น ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ในการแข่งขันกับสินทรัพย์ดั้งเดิม โดย *USDC* ของบริษัท Circle มียอดการซื้อขายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจากแรงเก็งกำไรก่อน IPO รายงานชี้ว่าในเดือนเมษายน USDC มียอดซื้อขาย 219,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมี Binance เป็นผู้ให้บริการซื้อขายกว่า 57% ส่งผลให้ Circle สามารถ ‘สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง’ อย่าง USDG ของ Paxos อย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดยูโรสเตเบิลคอยน์ เช่น EURC และ EURCV ก็ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังการบังคับใช้กฎหมาย MiCA ชี้ถึงบทบาทของสเตเบิลคอยน์ที่อิงกฎหมายว่าอาจกลายเป็นหนึ่งใน ‘เครื่องมือหลักของการซื้อขาย’ ในอนาคต
ที่สำคัญ ตลาดอนุพันธ์ก็มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังสหรัฐฯ อนุมัติการเปิดใช้ ‘ฟิวเจอร์สไร้วันหมดอายุ’ (Perpetual Futures) ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายต้นทุนต่ำ ไม่ต้องส่งมอบสินทรัพย์จริง และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการเก็งกำไรในตลาดผันผวน โดยในปี 2025 สัดส่วนการซื้อขาย BTC ผ่านฟิวเจอร์สชนิดนี้เพิ่มขึ้นถึง 68%
*Kaiko Research* คาดการณ์ว่า การออกสินค้าอนุพันธ์โดยผู้เล่นแบบดั้งเดิม เช่น Cboe ที่เตรียมเปิดตัว “ฟิวเจอร์สต่อเนื่อง” ในตลาดสหรัฐฯ จะเป็นตัวเร่งสำคัญให้ตลาดอนุพันธ์คริปโตขยายตัวมากยิ่งขึ้น
สุดท้าย ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการ ‘วิวัฒนาการ’ ตลาดคริปโตโดยมีทั้งราคาที่พุ่งสู่จุดสูงสุดใหม่ การฟื้นตัวของอัลต์คอยน์ การแทรกซึมของทุนสถาบัน และความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้านสภาพคล่อง แต่ในทางเดียวกัน ความเสี่ยงเรื่องการบริหารจัดการ, เหตุการณ์ภายนอกที่คาดไม่ถึง รวมถึงโครงสร้างตลาดที่ยังเกินพอดีก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม
ความคิดเห็น 0