Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

สตาร์คเน็ต(Starknet) ดันบิตคอยน์(BTC) สู่เศรษฐกิจใหม่ TVL พุ่งแตะ 310 ล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน

สตาร์คเน็ต(Starknet) กำลังกลายเป็นกำลังสำคัญภายในระบบนิเวศการเงินแบบกระจายอำนาจที่ขับเคลื่อนด้วยบิตคอยน์(BTC) หรือที่เรียกว่า ‘BTCFi’ โดยล่าสุด เมซซารี รีเสิร์ช(Messari Research) รายงานว่า บทบาทของสตาร์คเน็ตได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไปไกลกว่าบทบาทพื้นฐานด้านการสเตกและบริดจ์ โดยกำลังพัฒนาไปสู่ ‘ระบบเศรษฐกิจแบบถือครองด้วยตนเอง’ ที่สามารถรวมบริการตั้งแต่การให้กู้ยืม การกู้ยืมต่อ ยุทธศาสตร์การสร้างผลตอบแทน ไปจนถึงการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าสินทรัพย์ที่ถูกล็อกไว้(TVL) บนสตาร์คเน็ตเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า จาก 155 ล้านดอลลาร์ เป็น 310 ล้านดอลลาร์ ปัจจัยหลักที่ผลักดันการเติบโตนี้ประกอบด้วย การเพิ่มขึ้นของจำนวนบิตคอยน์(BTC) ที่บริดจ์เข้ามา, การสเตกของสเตเบิลคอยน์ และโทเคนดั้งเดิม STRK ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแพลตฟอร์มให้ยืมอย่างเวซู(Vesu) มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้งานที่ต้องการสร้างผลตอบแทนจาก BTC ที่ถืออยู่ ผ่านการนำมาใช้เป็นหลักประกัน เมซซารีชี้ว่า รูปแบบการสร้างผลตอบแทนขั้นสูงอย่างกลยุทธ์การกู้ซ้ำ(looping) และอินเซนทีฟจาก STRK กว่า 100 ล้านโทเคน เป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นเศรษฐกิจภายในเครือข่าย

ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มอัตราผลตอบแทน(APY) ของตนได้ผ่านการใช้งานกลยุทธ์เช่น ‘แครี่เทรด’ ที่มุ่งเก็งกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และการกู้ซ้ำแบบนำสินทรัพย์กลับมาวางซ้ำเป็นหลักประกัน เช่น การมัดจำ BTC เพื่อกู้ USDC และนำกลับมาวางอีกครั้ง เพื่อเพิ่มเลเวอเรจ เครื่องมือลักษณะนี้ช่วยเปลี่ยน BTC จากสินทรัพย์ที่ถือไว้เฉยๆ ไปเป็นแหล่งสร้างรายได้ ผ่านโครงสร้างแบบออนเชนที่ทำงานคล้ายกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม

อีกด้านหนึ่ง กลุ่มนักลงทุนสถาบันเริ่มหันมาให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ซับซ้อนมากขึ้น เช่น mRe7BTC จาก Re7 แคปิตอล ซึ่งเป็นกลยุทธ์ใช้ BTC ที่ห่อหุ้ม(wrapped) ผนวกกับออปชัน ผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้สูงถึง 20% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน DeFi ทั่วไป รายงานยังเน้นว่า เครื่องมือลักษณะนี้ช่วยยกระดับการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์ BTC ทั้งในเชิงกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยง

ในมิติด้านเทคโนโลยี สตาร์คเน็ตกำลังพัฒนาเครื่องมือพิสูจน์ใหม่เรียกว่า S-TWO ซึ่งใช้ระบบ STARK เป็นแกนกลาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล และมีการวางแผนเชื่อมต่อกับบล็อกเชนของบิตคอยน์ในอนาคต ความสามารถข้ามเชนนี้ ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นความพยายามของสตาร์คเน็ตในการยกระดับทั้งด้านความปลอดภัยและความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่าย

ในขณะเดียวกัน ด้านการใช้งานจริงภายในชีวิตประจำวันก็เห็นพัฒนาการอย่างชัดเจน โดยกระเป๋าเงินดิจิทัล 'เรดี(Ready)' บนสตาร์คเน็ตได้รีแบรนด์ตัวเองเป็นนีโอบุ๊ค พร้อมขยายบริการใหม่ทั้งการเชื่อมต่อกับระบบเงินตราแบบดั้งเดิม, เปิดใช้บัญชีเสมือนแบบ IBAN และบัตรเดบิตแบบถือครองด้วยตนเอง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้รางวัล STRK จากการสเตก BTC ซื้อสินค้าอย่างกาแฟหรือของใช้ประจำวันได้โดยไม่ผ่านศูนย์กลาง นับเป็นตัวอย่างชัดเจนของการเชื่อมโยง DeFi กับเศรษฐกิจในชีวิตจริง

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า DeFi ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การหมุนเวียนของเงินทุนอีกต่อไป แต่กำลังพัฒนาไปสู่ ‘ยูทิลิตี้ที่อิงกับพฤติกรรม’ ที่ทำให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในเศรษฐกิจแบบใหม่มากขึ้น เมซซารีประเมินว่าสตาร์คเน็ตอาจกลายเป็นแพลตฟอร์มเลเยอร์ 2 ตัวแรกที่สามารถสร้างวงจรเศรษฐกิจ BTCFi ที่สมบูรณ์ ตั้งแต่การลงทุน การขยายทุน ไปจนถึงการใช้จ่ายในชีวิตจริง

จากทิศทางนี้ มีแนวโน้มว่าสตาร์คเน็ตจะเป็นผู้ที่ช่วยขยับตำแหน่งของบิตคอยน์จาก ‘ทองคำดิจิทัล’ สู่ ‘สินทรัพย์สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ’ อย่างแท้จริง ซึ่งอาจเป็นแรงผลักสำคัญต่อวิวัฒนาการของตลาด BTCFi ในอนาคต

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1