การกำกับดูแลคริปโตควรดำเนินผ่านกระบวนการทางกฎหมายในสภาคองเกรสแทนที่จะพึ่งพาคำสั่งบริหาร เนื่องจากกฎระเบียบที่ยั่งยืนจำเป็นต้องมีพื้นฐานทางกฎหมายที่มั่นคง
ในบทสัมภาษณ์กับ Cointelegraph อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไวลีย์ นิกเคิล เน้นย้ำถึงความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างพรรคเพื่อกำหนดแนวทางกำกับดูแลคริปโตที่ครอบคลุม โดยกล่าวว่า "หากต้องการความเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่ยั่งยืนในวอชิงตัน จำเป็นต้องดำเนินผ่านกระบวนการออกกฎหมาย เพราะคำสั่งบริหารสามารถถูกยกเลิกได้ง่ายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล"
เมื่อวันที่ 23 มกราคม ประธานาธิบดีทรัมป์ออกคำสั่งบริหารเพื่อจัดตั้งคณะทำงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมสั่งห้ามการพัฒนาเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) รวมถึงเปิดตัวแผนการสำรองบิตคอยน์(BTC) แต่เนื่องจากคำสั่งบริหารสามารถถูกยกเลิกได้โดยรัฐบาลต่อไป ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางกฎหมายของนโยบายดังกล่าว
ขณะเดียวกัน สภาคองเกรสของสหรัฐฯ กำลังเร่งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคริปโตอย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม เอ็มเมอร์ ได้ยื่นร่างกฎหมายเพื่อห้ามการนำ CBDC มาใช้ใหม่ ขณะที่วุฒิสมาชิก ซินเทีย ลูมิส เสนอการแก้ไขร่างกฎหมาย ‘บิตคอยน์บิล’ เพื่ออนุญาตให้สหรัฐฯ ถือครองบิตคอยน์มากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไบรอน โดนัลด์ กำลังผลักดันแผนการสำรองบิตคอยน์ของทรัมป์ให้อยู่ในรูปของกฎหมายเพื่อรักษานโยบายดังกล่าวให้คงอยู่ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
เมื่อไม่นานมานี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ลงมติ 292 ต่อ 131 เสียง เพื่อผ่านร่างกฎหมายที่ยกเลิกกฎระเบียบด้านภาษีของกรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) ซึ่งกำหนดให้แพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมแก่ IRS นับเป็นก้าวสำคัญที่อาจส่งผลต่อแนวทางกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโต
โร คานา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ คาดการณ์ในงานประชุม Blockworks Digital Asset Summit ว่า "ในปี 2025 สหรัฐฯ จะมีกรอบกำกับดูแลคริปโตที่ครอบคลุม รวมถึงกฎหมายเกี่ยวกับเหรียญ Stablecoin และโครงสร้างตลาด" ท่ามกลางกระแสการเร่งผลักดันกฎหมายในสภาคองเกรส ทำให้หลายฝ่ายจับตาดูว่าแนวทางกำกับดูแลคริปโตในอนาคตจะมีทิศทางอย่างไร
ความคิดเห็น 0