‘Proof of Reserve(PoR)’ การตรวจสอบความโปร่งใสในอุตสาหกรรมคริปโต
Proof of Reserve(PoR) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความโปร่งใสและความปลอดภัยในอุตสาหกรรมคริปโต โดยเฉพาะหลังจากการล่มสลายของแพลตฟอร์มซื้อขายขนาดใหญ่อย่าง FTX ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจกับแนวทางนี้มากขึ้น
PoR มีแนวคิดคล้ายกับมาตรฐานเงินทุนสำรองในระบบการเงินดั้งเดิม แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่ ประเด็นสำคัญคือ แม้การตรวจสอบสามารถยืนยันจำนวนสินทรัพย์ที่กระดานเทรดถือครองได้ แต่ในขณะเดียวกัน อาจไม่สามารถเปิดเผยภาระหนี้สินที่แท้จริงของบริษัทได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้การประเมินสภาพคล่องยังไม่สมบูรณ์แบบ
แพลตฟอร์มคริปโตใช้เทคโนโลยีอย่าง ‘Merkle Tree’ และการตรวจสอบแบบออนเชน(On-chain) เพื่อดำเนินการตรวจสอบ PoR สิ่งนี้ช่วยให้สามารถพิสูจน์ว่าสินทรัพย์ที่ผู้ใช้ฝากไว้ยังอยู่ครบ ตัวอย่างเช่น คอยน์เบส(Coinbase) ใช้ระบบ PoR เพื่อตรวจสอบ cbBTC ซึ่งเป็นโทเคนที่ออกโดยแพลตฟอร์ม แสดงให้เห็นว่าแต่ละโทเคนมีบิตคอยน์(BTC) หนุนหลังแบบ 1:1 อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม PoR ก็ไม่ได้สามารถแก้ปัญหาความเสี่ยงทางการเงินทั้งหมดได้ หนึ่งในข้อจำกัดคือ การตรวจสอบนี้อิงข้อมูล ณ ‘ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง’ เท่านั้น ไม่สามารถรับประกันว่าสถานะการเงินของบริษัทจะมั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ หากไม่มีการตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม ความน่าเชื่อถือของกระบวนการก็อาจถูกตั้งคำถามได้
ด้วยเหตุนี้ บางแพลตฟอร์มเริ่มมองหาวิธีการตรวจสอบขั้นสูงกว่า โดยใช้ ‘Proof of Solvency(PoS)’ ซึ่งสามารถประเมินสภาพคล่องของบริษัทได้แบบครอบคลุมมากขึ้น มีการนำเทคโนโลยี ‘Zero-Knowledge Proof(ZK-Proof)’ มาใช้เพื่อพิสูจน์ความมั่นคงทางการเงิน โดยรวมภาระหนี้สินเข้าไปในการคำนวณ
แม้ PoR จะเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความโปร่งใสของตลาดคริปโต แต่ภาคอุตสาหกรรมยังต้องพัฒนากลไกการตรวจสอบให้รัดกุมยิ่งขึ้น แนวทางใหม่ที่สามารถแก้ไขข้อจำกัดของ PoR อาจกลายเป็นมาตรฐานในอนาคต ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป
ความคิดเห็น 0