คอยน์เบส(Coinbase) เดินหน้าซื้อเดริบิต(Deribit) หวังครองตลาดอนุพันธ์คริปโต

มีรายงานว่า ‘คอยน์เบส’(Coinbase) กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อ ‘เดริบิต’(Deribit) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายอนุพันธ์คริปโตระดับโลกที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในการซื้อขาย ‘บิตคอยน์’(BTC) และ ‘อีเธอเรียม’(ETH) ออปชัน ตามรายงานของ Bloomberg เมื่อวันที่ 21 หากข้อตกลงนี้สำเร็จ คาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มอนุพันธ์ของคอยน์เบส ซึ่งปัจจุบันเน้นไปที่การซื้อขายฟิวเจอร์สเป็นหลัก

แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสองบริษัทได้แจ้งหน่วยงานกำกับดูแลในดูไบเกี่ยวกับการหารือดังกล่าวแล้ว และหากการเข้าซื้อกิจการลุล่วง คอยน์เบสจะต้องดำเนินการโอนใบอนุญาตของเดริบิตไปยังชื่อของตน Bloomberg ยังเผยว่าเมื่อเดือนมกราคม คอยน์เบสได้ประเมินมูลค่าของเดริบิตไว้ที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 58.4-73 ล้านล้านวอน)

เดริบิตไม่เพียงแต่ให้บริการซื้อขายออปชันและฟิวเจอร์สเท่านั้น แต่ยังมีการซื้อขายแบบสปอต ซึ่งในปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายรวมของเดริบิตแตะระดับ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,752 ล้านล้านวอน) ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอนุพันธ์คริปโต เมื่อวันที่ 20 ‘คราเคน’(Kraken) ก็ประกาศการเข้าซื้อ ‘NinjaTrader’ เป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 21.9 ล้านล้านวอน)

ตลาดอนุพันธ์คริปโตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชันที่เปิดโอกาสให้ใช้เลเวอเรจทำให้ได้รับความนิยมสูงขึ้นในหมู่นักลงทุนรายย่อยและสถาบัน เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คอยน์เบสเปิดเผยว่าปริมาณการซื้อขายอนุพันธ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น 19,500% ตลอดปี 2024

ในเดือนมกราคม 2024 ‘โรบินฮูด’(Robinhood) ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าของคริปโตเพื่อรุกเข้าสู่ตลาดนี้ และในเดือนกุมภาพันธ์ ‘CME กรุ๊ป’(CME Group) รายงานว่าปริมาณการซื้อขายอนุพันธ์คริปโตเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 146 ล้านล้านวอน) เพิ่มขึ้นกว่า 300% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกัน คอยน์เบสได้กลายเป็นผู้ให้บริการที่ได้รับการอนุมัติจาก ‘คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าแห่งสหรัฐฯ’ (CFTC) รายแรกที่ปล่อยผลิตภัณฑ์ฟิวเจอร์สของโซลานา(SOL) ขณะที่ CME กรุ๊ปก็ตอบโต้ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของตนเอง

ด้วยความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อนุพันธ์คริปโตในตลาดการเงินโลก การแข่งขันระหว่างตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจึงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น