แพลตฟอร์มซื้อขายอนุพันธ์สกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจ ไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid) เผชิญเหตุการณ์เจาะระบบเป็นครั้งที่สองภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ทำให้บรรยากาศของตลาดซื้อขายแบบ ‘ไร้ตัวกลาง’ หรือ DEX ถูกตั้งคำถามถึงความปลอดภัยอีกครั้ง ล่าสุดมีรายงานว่า ‘ปลาวาฬ’ รายหนึ่งสามารถสร้างกำไรจากการใช้ช่องโหว่ของกฎการลิควิดในโทเคนเยลลี่ มาย เยลลี่(JELLY) ไปกว่า 6.2 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 905 ล้านบาท
อ้างอิงจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์บล็อกเชน อาร์คัม(Arkham) นักลงทุนรายนี้ได้เปิดสถานะในสินทรัพย์อนุพันธ์ที่อิงกับ JELLY เป็นจำนวนมาก ทั้ง ‘ลอง’ มูลค่าราว 2.15 ล้านดอลลาร์ และ 1.9 ล้านดอลลาร์ รวมถึง ‘ชอร์ต’ อีกกว่า 4.1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งกลยุทธ์นี้ถูกจัดวางให้สถานะส่วนใหญ่มาหักล้างกันเอง แต่เมื่อราคาโทเคน JELLY พุ่งขึ้นถึง 400% แทนที่สถานะชอร์ตจะถูกลิควิดในทันที มูลค่ากลับไปตกอยู่ที่กองทุนผู้ให้สภาพคล่อง HLP ของไฮเปอร์ลิควิดแทน สร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ
บ็อบบี้ ออง(Bobby Ong) ผู้ร่วมก่อตั้ง CoinGecko แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ไบแนนซ์(Binance) และ OKX ประกาศลิสต์อนุพันธ์ของ JELLY ซึ่งอาจกระตุ้นให้ CEX หรือแพลตฟอร์มส่วนกลาง รู้สึกถึงแรงกดดันจากการเติบโตของ DEX และพยายามตอบโต้ในเชิงการแข่งขัน "ตลาดแบบรวมศูนย์คงไม่ยอมนิ่งดูดายเมื่อเห็นส่วนแบ่งการตลาดลดลงแน่นอน" เขาระบุ
ในแง่ของสเกล ปัจจุบันไฮเปอร์ลิควิดครองตำแหน่งอันดับ 8 ของโลกด้านปริมาณซื้อขายอนุพันธ์ เอาชนะแพลตฟอร์มระดับตำนานอย่าง HTX, คราเคน(Kraken) และ บิทเม็กซ์(BitMEX) ไปแล้ว โดยมีมูลค่าการเปิดดอกเบี้ยต่อวันอยู่ที่กว่า 3 พันล้านดอลลาร์ แม้ยังห่างจากไบแนนซ์ที่อยู่ที่ราว 19.5 พันล้านดอลลาร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าไฮเปอร์ลิควิดกำลัง ‘ไล่จี้’ อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมของ DEX จะเติบโต แต่ความน่าเชื่อถือของไฮเปอร์ลิควิดกลับถูกท้าทาย เมื่อมีความเห็นว่าทางแพลตฟอร์มใช้วิธีจัดการปัญหาในรูปแบบ ‘รวมศูนย์’ ซึ่งขัดกับหลักการของการกระจายอำนาจ ไลแอน ลี(Ryan Lee) นักวิเคราะห์จากบิทเกต(Bitget) ระบุว่า "เมื่อแพลตฟอร์มที่อ้างว่าไร้ตัวกลางกลับจัดการด้วยแนวทางรวมศูนย์ มันจะทำให้นักลงทุนยิ่งหวาดระแวงกับ DEX อื่นๆ"
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้ไฮเปอร์ลิควิดต้องระงับการซื้อขาย JELLY และนำออกจากลิสต์สินค้า แต่ข้อมูลล่าสุดยังพบว่าที่อยู่วาฬรายดังกล่าวยังถือครอง JELLY คิดเป็น 10% ของอุปทานทั้งหมด หรือมูลค่าราว 2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 29.2 ล้านบาท)
น่าสังเกตว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่ถึงสองสัปดาห์หลังจากกรณี ‘MELANIA’ โทเคนแนวมิมที่อ้างอิงชื่อเมลาเนีย ทรัมป์ ซึ่งมีราคาดิ่ง 99% หลังเปิดตัว โดยก่อนเปิดตัวกว่า 80% ของโทเคนถูกแจกจ่ายให้คนวงใน ยิ่งตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของมิมโทเคนรวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายแบบ DEX ในวงการคริปโตปัจจุบัน
ความคิดเห็น 0