บิตคอยน์(BTC) ร่วงต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยราคาปรับตัวลดลงเป็นเลขสองหลักเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดก่อนหน้า ท่ามกลางแรงขายที่เพิ่มสูงขึ้นจากนักลงทุนระยะสั้น ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและจุดยืนแบบสายเหยี่ยวของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กำลังเป็นปัจจัยชะลอการฟื้นตัวของตลาด
ท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนในตลาดโลก การประกาศนโยบายภาษีนำเข้าฉบับใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เพิ่มอัตราภาษีสูงยิ่งขึ้น ได้สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อตลาดการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากกว่า ราคาบิตคอยน์จึงร่วงหลุดระดับจิตวิทยาที่ ‘8 หมื่นดอลลาร์’ และทำให้เกิดความกังวลว่านักลงทุนระยะสั้นอาจขาดทุนมากขึ้น
บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลคริปโตอย่างคริปโตควอนต์(CryptoQuant) เผยว่า หากตัวชี้วัด STH-SOPR ซึ่งสะท้อนกำไรจากการขายของผู้ถือครองระยะสั้น (Short-Term Holders) ลดลงต่ำกว่าระดับ 1 จะถือเป็นสัญญาณว่าเข้าสู่ ‘ช่วงยอมแพ้’ ซึ่งในอดีตมักสอดคล้องกับการขายจำนวนมากในตลาด โดยในช่วงที่ตลาดร่วงหนักระหว่างเดือนพฤษภาคม, กรกฎาคม และสิงหาคม 2024 ตัวเลขชี้วัดนี้ก็ได้ลดลงอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน
แม้ว่าการปรับฐานในขณะนี้ยังไม่ถึงระดับ ‘สุดโต่ง’ นักลงทุนบางรายเตือนว่า หากมีแรงขายเพิ่มขึ้นอีก อาจผลักดันราคาลงต่อ โดยเฉพาะหากราคาหลุดแนวรับสำคัญที่ ‘78,000 ดอลลาร์’ แรงกดดันฝั่งขายอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
มาร์คัส ทิลเลน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของแมทริกซ์พอร์ต(Matrixport) ระบุว่า แม้บิตคอยน์จะยังรักษาโครงสร้างทางเทคนิคที่แข็งแกร่งไว้ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะย่อตัวกลับมาตามลำดับ ‘ฟีโบนัชชี’ ที่ 38.2% ซึ่งตรงกับระดับราว ‘78,000 ดอลลาร์’ ทำให้ระดับราคานี้มีความสำคัญในฐานะแนวรับและแนวต้านที่นักลงทุนจับตามองอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายภาษีขั้นสูงของทรัมป์ กำลังทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ประกอบกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในสหรัฐและแนวโน้มว่าธนาคารกลางอาจยังไม่ยุติมาตรการเข้มงวดเร็วๆ นี้ ส่งผลให้ตลาดคริปโต รวมถึงบิตคอยน์ อาจยังไม่สามารถฟื้นตัวจากแรงกดดันด้านนโยบายในเร็ววัน ความเห็นส่วนใหญ่จึงคาดว่าตลาดยังต้อง ‘รอแรงหนุนเชิงนโยบาย’ อีกระยะหนึ่งก่อนจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
ความคิดเห็น 0