ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อต้นปีนี้ กำหนดให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องรายงานข้อมูลการถือครองสกุลเงินดิจิทัลต่อกระทรวงการคลังภายในวันที่ 7 เมษายน เพื่อเตรียมความพร้อมจัดตั้ง “เงินทุนสำรองบิตคอยน์(BTC) แห่งชาติ” ตามแผนยุทธศาสตร์สินทรัพย์ดิจิทัลของรัฐบาล
เมื่อวันที่ 24 แอลินอร์ เทอร์เร็ต ผู้สื่อข่าวจาก Fox Business รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระดับสูงจากทำเนียบขาวว่า หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองคริปโตให้แก่สกอตต์ เบสเซนต์(Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายในกำหนดที่ระบุ ทั้งนี้รายงานดังกล่าวจะยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในเร็ววัน โดยยังไม่มีการยืนยันว่าจะมีการเปิดเผยในอนาคตหรือไม่
ภารกิจการรายงานนี้เป็นผลมาจากคำสั่งบริหารที่ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งมีเป้าหมายจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ของสหรัฐ โดยใช้ BTC ที่ยึดมาได้จากคดีแพ่งและอาญาเป็นทุนตั้งต้น พร้อมกำหนดให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาโอนบิตคอยน์ที่ถือครองมายังกองทุนดังกล่าว เพื่อรวมเป็นสินทรัพย์รัฐภายใต้การบริหารของกระทรวงการคลัง
เดวิด แซ็กส์ ที่ปรึกษาด้านคริปโตและปัญญาประดิษฐ์ของทำเนียบขาว ให้ความเห็นว่า กองทุนสำรองนี้จะเปรียบเสมือน “ฟอร์ตนอกซ์ของเงินดิจิทัล” โดย BTC ทั้งหมดจะไม่ถูกขายออก แต่จะเก็บไว้ในฐานะ *เครื่องมือรักษามูลค่า* พร้อมเปิดเผยว่า หากรัฐบาลสหรัฐยังคงถือครอง BTC จำนวน 195,000 เหรียญที่เคยขายเพียง 366 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,350 ล้านบาท) มาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลอาจมีทรัพย์สินมูลค่าสูงกว่าเดิมหลายพันล้านดอลลาร์
กระทรวงการคลังจะเริ่มจากการนำ BTC ที่อยู่ในการถือครองเข้ากองทุน และเตรียมสร้างระบบข้อมูล *คริปโตของรัฐ* ซึ่งแซ็กส์ชี้ว่าเป็นรากฐานของ “การบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ” โดยยังไม่ปิดโอกาสว่าจะมีการทยอยขายบางส่วนของสินทรัพย์ในอนาคตเพื่อปรับสมดุลพอร์ต
นอกจากบิตคอยน์(BTC) แล้ว ทรัมป์ยังระบุเมื่อวันที่ 2 มีนาคมว่าสินทรัพย์คริปโตอื่น ๆ เช่น ริปเปิล(XRP), โซลานา(SOL), คาร์ดาโน(ADA) ก็จะถูกบรรจุในบัญชีสินทรัพย์แห่งชาติดังกล่าว โดยภายหลังมีการเพิ่มอีเธอเรียม(ETH) เข้ามาในรายการด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคำสั่งบริหารด้านคริปโตจะส่งสัญญาณบวกระยะสั้นต่อวงการ แต่คำสั่งใหม่ที่ทรัมป์ลงนามเมื่อวันที่ 5 เมษายน ให้เรียกเก็บภาษีนำเข้า 10% จากทุกประเทศทั่วโลก กลับสร้างแรงกระแทกอย่างรุนแรงต่อตลาดคริปโต
โดยจีนโดนเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 34%, ญี่ปุ่น 24% และสหภาพยุโรป 20% ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของคริปโตลดลงมากกว่า 8% ภายในวันเดียว จนเหลือเพียงราว 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,650 ล้านล้านบาท) แสดงให้เห็นว่าการยกระดับ ‘การค้าแบบปกป้องตนเอง’ ของรัฐบาลทรัมป์ส่งผลกระทบรุนแรงต่อความมั่นคงของตลาดการเงินทั่วโลก — รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยเช่นกัน.
ความคิดเห็น 0