ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
ราคาบิตคอยน์(BTC) พุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 85,000 ดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 1.24 ล้านบาท) สร้างความสนใจในหมู่นักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดัชนี S&P500 ร่วงกว่า 5.7% ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า ระหว่างจีนและสหรัฐฯ บิตคอยน์เคยดิ่งลงถึง 74,400 ดอลลาร์(ประมาณ 1.08 ล้านบาท) ก่อนจะพลิกกลับขึ้นมาได้ถึง 14% สะท้อนถึงพฤติกรรมตลาดที่ ‘แตกต่าง’ จากทรัพย์สินแบบดั้งเดิม ผู้เชี่ยวชาญระบุว่านักลงทุนยังคงมองในแง่ดี แต่ก็ระมัดระวังเมื่อราคาบิตคอยน์เข้าใกล้ระดับสำคัญที่ 90,000 ดอลลาร์(ประมาณ 1.31 ล้านบาท)
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาบิตคอยน์ให้แข็งแกร่งคือการ ‘แยกตัว’ ออกจากตลาดการเงินแบบดั้งเดิม การที่บิตคอยน์ไม่ปรับตัวลงพร้อมกับตลาดหุ้น ทำให้หลายฝ่ายเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับทองคำซึ่งทำสถิติใหม่ที่ 3,358 ดอลลาร์ต่อออนซ์(ประมาณ 490,000 บาท) บิตคอยน์กลับยังไม่สามารถทำได้เท่า จึงเกิดกระแสคาดการณ์ว่ารัฐบาลและธนาคารกลางชาติใหญ่ อาจอยู่ระหว่างการเพิ่มการถือครองทองคำแบบเงียบ ๆ
ในขณะเดียวกัน ประเทศหลักอย่างจีนและกลุ่มยุโรปเริ่มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องทั่วโลกขยายตัว ซึ่งช่วยหนุนให้บิตคอยน์ได้รับการจับตามองเพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์เฮดจ์ความเสี่ยง แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ยังไม่ประกาศลดดอกเบี้ยหรือกลับมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจเริ่มปรากฏ ทำให้แรงกดดันจากภาคการเมืองให้เฟดลดดอกเบี้ยมีแนวโน้มมากขึ้น
ล่าสุด ดัชนีดอลลาร์(DXY) ซึ่งสะท้อนมูลค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลัก กำลังอ่อนค่าลง เป็นเครื่องชี้ว่าตลาดเริ่มคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายดอกเบี้ย ท่ามกลางกระแสการฟื้นตัวของบิตคอยน์ที่อาจได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากสภาพแวดล้อมนี้ ความคิดเห็นจากบางฝ่ายยังชี้ว่า หากทรัมป์กลับมาบริหารประเทศ และเดินหน้าใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแข็งกร้าว อาจเป็น ‘แรงซื้อ’ สำคัญของบิตคอยน์ในรอบถัดไป
ในท้ายที่สุด การที่บิตคอยน์จะสามารถยืนเหนือระดับ 90,000 ดอลลาร์อย่างยั่งยืนได้หรือไม่ อาจขึ้นอยู่กับการลดช่องว่างกับราคาทองคำ และความสามารถในการสร้างแนวโน้มที่แตกต่างจากตลาดการเงินโลกอย่างต่อเนื่อง
ความคิดเห็น 0