แพลตฟอร์มบริการคริปโตอย่างเนกโซ(Nexo) ประกาศแผนกลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐอีกครั้ง พร้อมเข้าร่วมกลุ่มบริษัทคริปโตชั้นนำรายที่ 8 ที่ตัดสินใจคืนสู่ตลาดสหรัฐนับตั้งแต่ *ประธานาธิบดีทรัมป์* เข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความหวังจากอุตสาหกรรมคริปโตว่าการเปลี่ยนแปลงด้าน *กฎระเบียบ* ภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะส่งผลในทางบวก
บริษัทหลักอื่น ๆ เช่น เซอร์เคิล(Circle), ไบแนนซ์(Binance) และโอเคเอ็กซ์(OKX) ต่างก็เร่งขยายกิจการในสหรัฐ โดยตั้งเป้าเตรียมตัวรับ *นโยบายใหม่* ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2025 ซึ่งคาดว่าจะเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจคริปโตอย่างถูกกฎหมายมากขึ้น ขณะเดียวกัน สภาคองเกรสสหรัฐก็กำลังผลักดันร่างกฎหมาย STABLE และ GENIUS ซึ่งถ้าผ่านการอนุมัติจะสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือ *ประธานาธิบดีทรัมป์* และครอบครัวของเขามีบทบาทอย่างเปิดเผยในการสนับสนุนบริษัทที่กลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะลูกชายคนโต ดอนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ได้แสดงการสนับสนุนเนกโซอย่างเป็นทางการ เขาระบุว่า “ต้องการนำโอกาสทางการเงินกลับคืนสู่สหรัฐอเมริกา”
อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ว่า การมีบทบาทมากขึ้นของตระกูลทรัมป์ในโลกคริปโต อาจก่อให้เกิด ‘ผลประโยชน์ทับซ้อน’ และการสนับสนุนที่มากเกินความเหมาะสมต่อวงการนี้ นอกจากนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่ากฎระเบียบใหม่จะสามารถปกป้องนักลงทุนทั่วไปได้เพียงใด แต่ความเคลื่อนไหวของบริษัทใหญ่ ๆ ที่เริ่มทุ่มลงทุนอีกครั้งในตลาดสหรัฐ ด้วยเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาท แสดงให้เห็นว่าโอกาสยังคงมีอยู่
ไบแนนซ์ สหรัฐ หรือ Binance.US ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่กลับมาเปิดให้บริการฝากถอนด้วยสกุลเงินดอลลาร์ทันทีหลัง *ประธานาธิบดีทรัมป์* เข้ารับตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งเดือน การให้บริการดังกล่าวเคยถูกระงับไปเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ปีที่แล้ว หลังสำนักงานกรรมาธิการซื้อขายล่วงหน้า(U.S. CFTC) ดำเนินคดีแพ่ง และกล่าวหาว่าไบแนนซ์เลี่ยงกฎหมายสหรัฐและดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย
ต่อมา ไบแนนซ์ได้จ่ายค่าปรับรวม 2.7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.94 แสนล้านบาท) และ *ชางเผิง เจา*(Changpeng Zhao) อดีตซีอีโอ ได้จ่ายค่าปรับแยกต่างหากอีก 150 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.19 หมื่นล้านบาท)
หลังการระงับบริการไม่นาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ก็ยื่นฟ้องไบแนนซ์และอดีตซีอีโออีกคดีหนึ่งโดยระบุว่า ทั้งสอง “พยายามหลบเลี่ยงกฎหมาย มีผลประโยชน์ทับซ้อน การบริหารงานไม่โปร่งใส และเข้าข่ายฉ้อโกงขั้นสูง”
ในเดือนพฤศจิกายน 2023 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้ทำข้อตกลงกับไบแนนซ์ โดยที่บริษัทยอมรับผิดในข้อหาทางอาญา แลกกับการจ่ายค่าปรับสูงถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.28 แสนล้านบาท) รวมถึง *การลาออกของซีอีโอ* และโทษจำคุก
ปัจจุบัน เจาได้ยื่นเรื่องขออภัยโทษต่อ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มผ่อนปรนต่อบุคคลในวงการคริปโตมากขึ้น โดยมีการ *อภัยโทษฯ* แก่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมบางรายในระยะหลัง ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงแนวโน้มเชิงบวกต่อวงการคริปโตในยุคใหม่ของรัฐบาลสหรัฐ
ความคิดเห็น 0