ราคาบิตคอยน์(BTC) ปรับตัวลดลง 3% ในตลาดนิวยอร์กเมื่อวันที่ 12 หลังพุ่งแตะระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 105,800 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,544,000 บาท) ก่อนจะร่วงลงมาอยู่ที่ 101,400 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,481,000 บาท) โดยการปรับฐานครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากบิตคอยน์หลุดแนวรับบริเวณล่างของกรอบราคาขาขึ้นในกราฟระยะสั้น ซึ่งเป็น ‘สัญญาณขาลง’ จากมุมมองทางเทคนิค
นักวิเคราะห์ระบุว่า รูปแบบกราฟ ‘ลิ่มขาขึ้น’ (rising wedge) ที่บ่งชี้ถึงแรงซื้อใกล้อิ่มตัว ทำให้เมื่อราคาทะลุแนวล่างของลิ่ม จึงเป็นไปได้ที่จะเห็นแรงขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อราคาบิตคอยน์ใกล้ระดับต้านสำคัญที่ 106,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,550,000 บาท) นักลงทุนจำนวนหนึ่งได้ทยอยขายทำกำไร ส่งผลให้มีแรงกดดันจากการปรับฐานระยะสั้นเข้ามา
ในขณะเดียวกัน ตลาดยังจับตามองการประกาศตัวเลข ‘ดัชนีราคาผู้บริโภค’ (CPI) ของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้น โดยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อนี้อาจกลายเป็นปัจจัยชี้ทิศทางราคาของบิตคอยน์ในระยะใกล้ หากข้อมูล CPI ต่ำกว่าคาดการณ์ นักวิเคราะห์มองว่า ‘ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง’ อาจกลับมาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้บิตคอยน์สามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขเงินเฟ้อสูงเกินคาด ก็อาจตอกย้ำความกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้แรงขายกลับมารุนแรง และราคาบิตคอยน์มีโอกาสหลุดต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,460,000 บาท)
นอกจากนี้ แนวนโยบายเป็นมิตรต่อคริปโตของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ก็กำลังถูกจับตา ว่าจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างไร ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในช่วงนี้ ‘ความคิดเห็น’ ของนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า ปัจจัยมหภาค (macroeconomics) และความชัดเจนด้านกฎระเบียบ จะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของบิตคอยน์ในระยะกลางถึงระยะยาว
ความคิดเห็น 0