ไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานกรรมการบริหารของไมโครสเตรจีย์(MSTR) ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยเรียกแนวคิด ‘การพิสูจน์หลักฐานการถือครองเงินสำรอง’ หรือ ‘Proof of Reserve’ ว่าเป็น *“ความคิดที่แย่”* ซึ่งกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงในวงการคริปโต
ตามข้อมูลจากนักวิเคราะห์รายหนึ่ง เซย์เลอร์แสดงความเห็นนี้ในบทสัมภาษณ์ล่าสุด โดยชี้ว่า การพิสูจน์เงินสำรองบนบล็อกเชนเสมือนการเปิดเผยข้อมูลบัญชีธนาคาร ซึ่ง ‘อาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหล และเป็นจุดอ่อนด้านความปลอดภัย’ เขาเตือนว่า ปัญญาประดิษฐ์(AI) อาจใช้ข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และเจาะช่องโหว่ทางความปลอดภัยได้เป็นสิบๆ จุด พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์ล่มสลายอย่าง *FTX* และ *Mt. Gox* ที่เกิดจากการจัดการภายในมากกว่าความโปร่งใส
ในขณะที่ฝั่งผู้เชี่ยวชาญบิตคอยน์(BTC)ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของเซย์เลอร์ โดย ‘WhalePanda’ เทรดเดอร์ชั้นนำของวงการ ทวีตว่า ความโปร่งใสคือ *“เสาหลัก”* ของบิตคอยน์ พร้อมเตือนว่า การตั้งคำถามเกี่ยวกับ PoR เป็น *สัญญาณอันตราย* ด้านทิศทางของตลาด นอกจากนี้ บริษัทคริปโตอย่าง Bitwise ยังออกโรงสนับสนุนว่า มีวิธีที่ปลอดภัยในการแสดงหลักฐานการถือครองสินทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ทำให้มีการขุดคุ้ยอดีตของเซย์เลอร์ โดยเฉพาะกรณีอื้อฉาวการบัญชีมูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2000 หลายฝ่ายมองว่าเขาอาจหลีกเลี่ยงเรื่องความโปร่งใสโดยตั้งใจ พร้อมกับข่าวลือว่า ไมโครสเตรจีย์อาจไม่ได้ถือบิตคอยน์จริงอยู่ในบัญชี แต่เป็นผลิตภัณฑ์อนุพันธ์
แม้เซย์เลอร์ยังคงเป็นบุคคลสำคัญของแวดวงบิตคอยน์ แต่คำพูดครั้งนี้ ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวทางการเปิดเผยข้อมูลของนักลงทุนสถาบัน และจุดประกายประเด็นใหม่เกี่ยวกับความรับผิดชอบในการให้ข้อมูลของบริษัทคริปโตในสายตาสาธารณะ
ความคิดเห็น 0