สหรัฐฯ เดินหน้าเข้าสู่การปฏิรูประบบกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งใหญ่ หลังสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมาย ‘CLARITY’ ด้วยคะแนนเห็นชอบ 32 เสียงต่อ 19 เสียง เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) โดยกฎหมายฉบับนี้มุ่งชัดเจนบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแล พร้อมวางกรอบนิยามใหม่ให้กับ ‘คริปโต’ ที่เคยเป็นข้อถกเถียงมายาวนาน นับเป็นก้าวสำคัญในการคลี่คลาย ‘ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย’ ที่ครอบงำวงการสินทรัพย์ดิจิทัลมาหลายปี
สาระสำคัญของกฎหมาย คือการแบ่งบทบาทระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สแห่งสหรัฐฯ (CFTC) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) โดย ‘CFTC’ จะกำกับดูแล ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ที่จัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ ‘SEC’ จะคงอำนาจดูแลในส่วนของ ‘สัญญาการลงทุน’ และกำกับสินทรัพย์ที่เข้าข่ายหลักทรัพย์ตามกฎหมาย ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้ โทเคนบางส่วนสามารถหลุดพ้นจากการกำกับของ SEC ได้เมื่อเวลาผ่านไป
รีช ทอร์เรส ส.ส.จากนิวยอร์ก และคลีโอ ฟิลด์ส จากหลุยเซียนา ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต ร่วมโหวตสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย สะท้อนถึง ‘ฉันทามติข้ามพรรค’ แบบบางเบา แม้กฎหมายจะถูกผลักดันโดยพรรครีพับลิกันก็ตาม และถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเดินหน้าต่อในวุฒิสภา
ไบรอัน สไตล์ ส.ส.พรรครีพับลิกันจากวิสคอนซิน ระบุว่า “ร่างกฎหมายนี้สะท้อนความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้เสียข้ามฝ่ายอย่างครอบคลุม และจะเป็นเครื่องมือผลักดันให้สหรัฐฯ ยึดหัวหาดความเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล” พร้อมชี้ว่า การที่ทั้ง ‘CFTC’ และ ‘SEC’ ถูกระบุให้ร่วมมือกันในการจัดทำกรอบกำกับร่วม ถือเป็นก้าวแรกในการสลายข้อขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน
ฟายาร์ ซีร์ซาด ประธานนโยบายของบริษัทคริปโตยักษ์ใหญ่อย่าง ‘คอยน์เบส’ มองว่า “สัปดาห์นี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของนโยบายคริปโตในสหรัฐฯ” โดยตั้งข้อสังเกตว่า หากวุฒิสภาพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ตามลำดับ และมีการเคลื่อนไหวเรื่อง ‘กฎระเบียบสำหรับเหรียญเสถียร’ (Stablecoin) ภายในวันศุกร์ที่กำหนดไว้ วงการคริปโตของสหรัฐฯ จะเข้าสู่ ‘ช่วงพลิกเกม’ อย่างเป็นทางการ
ในช่วงเวลาที่บริษัทด้านคริปโตหลายแห่งเริ่มมีท่าทีจะย้ายฐานไปต่างประเทศ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่ยังสับสน กฎหมาย CLARITY ฉบับนี้จึงถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นกุญแจในการ ‘ฟื้นความเชื่อมั่น’ ดึงดูดบริษัทกลับเข้ามาในระบบ และเปิดทางให้สินทรัพย์ดิจิทัลเข้าใกล้การยอมรับในภาคการเงินกระแสหลักยิ่งขึ้น
*ความคิดเห็น*: นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า แม้บทบัญญัติบางข้ออาจยังต้องปรับปรุงในขั้นวุฒิสภา แต่ CLARITY น่าจะเป็นร่างกฎหมายชุดแรกที่สามารถเปิดทางให้สหรัฐฯ วางรากฐานระยะยาวทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและการคุ้มครองนักลงทุนได้พร้อมกันอย่างสมดุล
ความคิดเห็น 0