USDC เปิดให้ใช้งานบนเอ็กซ์อาร์พี เลดเจอร์(XRPL) ดันศักยภาพ DeFi และการเงินโลก

ยูเอสดีคอยน์(USDC) ซึ่งเป็น *สเตเบิลคอยน์* รายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ได้ถูกนำไปใช้งานอย่างเป็นทางการบน บล็อกเชนชั้นหนึ่ง ‘เอ็กซ์อาร์พี เลดเจอร์(XRPL)’ ของริปเปิล(XRP) โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและใช้งาน USDC ได้ทันที *โดยไม่ต้องผ่านบริดจ์*, นับเป็นความคืบหน้าที่สำคัญในแง่ของการเพิ่ม *สภาพคล่องระหว่างบล็อกเชน*

เมื่อวันที่ 12 Circle ผู้ให้บริการ USDC ได้ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิมคือ Twitter) ว่า “USDC บนเอ็กซ์อาร์พี เลดเจอร์พร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว” พร้อมเสริมว่า นักพัฒนาและบริษัทต่าง ๆ สามารถนำสเตเบิลคอยน์นี้ไป *เชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันด้านการเงินทั่วโลกได้อย่างอิสระ* การประกาศครั้งนี้ยังทำให้ USDC ขยายการใช้งานครอบคลุมถึง 22 เครือข่ายบล็อกเชนแล้วในปัจจุบัน

ทาง Circle ยังระบุด้วยว่า การขยายตัวครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมกรณีการใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินระหว่างองค์กร การโอนเงินข้ามพรมแดน หรือการเพิ่ม *สภาพคล่องให้กับ DeFi* อีกทั้ง XRPL ยังเป็นแพลตฟอร์มที่มีความเร็วสูง ค่าธรรมเนียมต่ำ และมีโครงสร้างที่มั่นคง จึงช่วยส่งเสริมให้การใช้งาน USDC มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น XRPL ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในฐานะโครงสร้างพื้นฐานที่เล็งเห็นประโยชน์สำหรับนักพัฒนาและภาคธุรกิจทั่วโลก

ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า *ริปเปิลกำลังเจรจาเข้าซื้อกิจการ Circle* ด้วยมูลค่าราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.95 แสนล้านบาทนั้น แบรด การ์ลิงเฮาส์(Brad Garlinghouse) ซีอีโอของริปเปิล ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวด้วยตนเอง

ที่น่าสนใจคือ การที่ USDC ถูกประกาศใช้งานบน XRPL มีขึ้นหลังจาก Circle เพิ่งระดมทุนได้ประมาณ *1.1 พันล้านดอลลาร์* หรือราว 1.53 แสนล้านบาท ผ่านการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป (IPO) บนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นทันทีหลังการเข้าตลาด นำไปสู่การยกระดับสถานะของบริษัทในแวดวงการเงิน

ในช่วงที่ USDC กำลังกลายเป็น *สินทรัพย์สะพาน ‘Bridge Asset’* ที่เชื่อมโยงระบบการเงินดั้งเดิมและระบบ Web3 การเชื่อมต่อกับ XRPL ครั้งนี้จึงอาจกลายเป็น *ก้าวสำคัญทั้งต่อริปเปิลและ Circle* ในแง่ของ *กลยุทธ์พันธมิตร* และ *การขยายธุรกิจทั่วโลก* ความคิดเห็น: หากความร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัทยังคงเดินหน้าไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน อาจมีผลกระทบเชิงบวกต่อการยอมรับสเตเบิลคอยน์ในวงกว้างมากขึ้นในอนาคต