ตลาดคริปโตกำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง โดยมูลค่ารวมของตลาดลดลง 1.83% เหลือ 3.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 4,557.2 ล้านล้านวอน) ส่วนปริมาณการซื้อขายลดลง 7.63% เหลือเพียง 123.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 171.2 ล้านล้านวอน) สะท้อนให้เห็นถึง ‘การชะลอตัวของความเชื่อมั่นนักลงทุน’ อย่างชัดเจน ตัวชี้วัดจิตวิทยาตลาดสำคัญอย่าง ‘ดัชนีความกลัวและความโลภ’ ของคริปโตอยู่ที่ระดับ 48 แม้จะอยู่ในเกณฑ์ ‘เป็นกลาง’ แต่ก็แสดงถึงความไม่แน่นอนที่กำลังเพิ่มมากขึ้น
ความผันผวนของตลาดในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่ชัดเจนของกฎระเบียบในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ ที่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเก็บภาษีศุลกากร เพิ่มแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดทั่วโลก ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง ‘อิสราเอล’ และ ‘อิหร่าน’ ก็ส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโต ยิ่งไปกว่านั้น สภาคองเกรสสหรัฐฯ ยังคงมีการถกเถียงกันอย่างหนักเรื่องกฎหมายควบคุมสเตเบิลคอยน์ ทำให้ความไม่แน่นอนครอบคลุมทั่วทั้งอุตสาหกรรมคริปโต
ปัจจุบัน บิตคอยน์(BTC) ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 64% ตามด้วยอีเธอเรียม(ETH) ที่ 9.3% ขณะที่ดัชนี Altcoin Season อยู่ที่เพียง 23/100 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ‘แรงกดดันจากตลาด’ ยังคงถาโถมมายังเหรียญหลัก มากกว่าจะกระจายไปยังเหรียญทางเลือกอื่นๆ
ในช่วงการปรับฐานครั้งนี้ ผู้เทรดที่ใช้เลเวอเรจสูงได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากข้อมูลของ CoinGlass เมื่อ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้เทรดถูกบังคับปิดสถานะถึง 105,830 ราย รวมมูลค่ากว่า 319.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 4,430 พันล้านวอน) โดยอีเธอเรียมเป็นเหรียญที่มีมูลค่าถูกปิดสถานะมากที่สุดอยู่ที่ 108.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 1,396 พันล้านวอน) ขณะที่บิตคอยน์ถูกปิดสถานะรวม 82.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 1,153 พันล้านวอน) นอกจากนี้ รายงานยังเผยว่า การเทรดบนคู่ ETH/USDT ผ่านไบแนนซ์(Binance) มีการปิดสถานะขนาดใหญ่ที่สุดถึง 4.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 5.9 พันล้านวอน) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า ‘เลเวอเรจสูงในภาวะตลาดตึงเครียด’ อาจเป็นความเสี่ยงที่ยากจะควบคุม
เมื่อหันมาดูจิตวิทยาตลาด ดัชนีความกลัวและความโลภเริ่มต้นเดือนนี้ยังอยู่ในระดับ ‘โลภ’ แต่ภายในไม่กี่วันได้ลดระดับลงมาเป็น ‘กลาง’ อย่างรวดเร็ว ราคาบิตคอยน์ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 111,000 ดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 154.3 ล้านวอน) ลงมาที่ราว 105,000 ดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 145.9 ล้านวอน) กระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรง ดัชนีชี้วัดยังเคยขยับเข้าใกล้ ‘ความกลัว’ สองครั้งช่วงวันที่ 5 และ 13–15 มิถุนายน สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนกำลัง ‘ชะลอการตัดสินใจ’ รอความชัดเจนจากทิศทางตลาด
จนถึงขณะนี้ ตลาดกำลังอยู่ในภาวะ ‘สมดุลแบบเปราะบาง’ ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยภายนอกทั้งในเชิงบวกและลบ แม้ปริมาณการซื้อขายจะยังไม่ตกลงไปมาก แต่ ‘ความตึงเครียด’ ยังคงปกคลุมไปทั่ว ตลาดน่าจะยังอยู่ในสถานะ ‘กลางที่ไม่มั่นคง’ จนกว่าจะมีปัจจัยชัดเจนอย่างโมเมนตัมขาขึ้นหรือนโยบายรัฐบาลที่แน่นอนมาเป็นตัวกระตุ้นใหม่
ความคิดเห็น 0