เมตา(META) เดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพด้านปัญญาประดิษฐ์(AI) อย่างจริงจัง ล่าสุดได้ดึงตัว ทราพิต บันซาล(Trapit Bansal) นักวิจัยจากโอเพนเอไอ(OpenAI) ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโมเดล AI ด้านการอนุมาน ‘o1’ เข้าร่วมทีม ท่ามกลางกระแสการแย่งชิงความเป็นผู้นำในสนาม AI ที่ทวีความดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะภายใต้ยุคของ *ทรัมป์* ที่กำลังเร่งขับเคลื่อนนโยบาย AI ระดับชาติอย่างเข้มข้น
การเข้าร่วมของบันซาล เป็นผลมาจากกลยุทธ์ของเมตาที่มุ่งพัฒนาศักยภาพด้านการอนุมานของ AI โดยตลอดช่วงที่ผ่านมา เมตาได้เดินหน้าเปิดรับผู้เชี่ยวชาญจากโอเพนเอไออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ลูคัส บายเออร์, อเล็กซานเดอร์ โคเรสนิคอฟ และเซียวหัว ไจ๋ เพื่อร่วมกันต่อยอดโมเดล AI ให้สามารถเรียนรู้จากข้อมูลในสภาพแวดล้อมจริง และแสดงออกถึงลักษณะ ‘ความฉลาด’ ที่ใกล้เคียงมนุษย์มากยิ่งขึ้น
ยาน เลอคุน(Yann LeCun) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้าน AI ของเมตา ได้กล่าวในการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดว่า ความสามารถที่ถือเป็นหัวใจของ AI ที่แท้จริงนั้นประกอบด้วย “ความเข้าใจในโลกกายภาพ, พื้นฐานความจำที่ต่อเนื่อง, ความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล และการวางแผนแบบเป็นลำดับชั้น” โดยเขาย้ำว่านี่คือองค์ประกอบที่เป็นรากฐานของ ‘ปัญญา’ ซึ่งมีทั้งในมนุษย์และสัตว์ ซึ่งเมตากำลังเร่งพัฒนา
การรุกหนักของเมตาในครั้งนี้ถือเป็นการตอบสนองต่อบรรยากาศการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI ที่กำลังลุกลามสู่ระดับภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลสหรัฐก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อการถือครองเทคโนโลยี AI ในฐานะเป้าหมายนโยบายระดับชาติ โดยสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI ต่าง ๆ เช่น ซีรีส์ ‘ลามา(LLama)’ ของเมตาอย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน *ทรัมป์* เองก็ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเร่งด่วนในการรักษาความเป็นผู้นำของสหรัฐในเวที AI ด้วยการประกาศว่าประเทศ “ไม่อาจปล่อยให้ตำแหน่งผู้นำใน AI หลุดมือไป” ความเคลื่อนไหวของเมตาจึงไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนถึงการเผชิญหน้าใน *สมรภูมิ AI ระดับชาติ* ที่เริ่มเข้มข้นมากขึ้น
‘ความคิดเห็น’: การดึงดูดบุคลากรระดับสูงจากโอเพนเอไอไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มขีดความสามารถให้เมตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังสื่อถึงภาพลักษณ์ของบริษัทที่กำลังเติบโตสู่ ‘ศูนย์กลางของการปฏิวัติ AI’ บนเวทีโลก ในช่วงเวลาที่ทั้งภาครัฐและเอกชนสหรัฐต่างตระหนักว่าความเชี่ยวชาญด้าน AI ไม่เพียงแต่เป็นอนาคตของอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยชี้ขาดอำนาจของประเทศในศตวรรษนี้
ความคิดเห็น 0