ท่ามกลางความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อการชำระเงินด้วย ‘สเตเบิลคอยน์’ ในระดับโลก หลายบริษัทชั้นนำนานาชาติกำลังเร่งนำระบบการชำระเงินแบบคริปโตมาใช้อย่างจริงจัง ความสะดวกในการใช้งาน ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และความเร็วในการทำธุรกรรม ได้ส่งเสริม *มูลค่าการใช้งานของสินทรัพย์ดิจิทัล* ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศอย่างจีน อินโดนีเซีย รัสเซีย และตุรกี ยังคงมีกฎระเบียบห้ามการชำระเงินด้วยคริปโตในระดับผู้บริโภคทั่วไป เนื่องจากต้องการควบคุมระบบการเงินภายในประเทศและรักษาอำนาจอธิปไตยทางการเงิน แต่มีข้อสังเกตจากนักกฎหมายท้องถิ่นว่าการใช้คริปโตในต่างประเทศเพื่อจ่ายค่าสินค้าและบริการ อาจ *ไม่อยู่ภายใต้ข้อห้ามของกฎหมายภายในประเทศ*
เมริค พัลดีโมกลู(Meric Paldimoglu) ทนายความจากตุรกีและผู้ก่อตั้งสำนักงานกฎหมายพัลดีโมกลู ระบุว่า “โดยทั่วไปกฎหมายของแต่ละประเทศมีผลบังคับใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ หรือผู้ถือสัญชาติประเทศนั้นเท่านั้น” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการใช้สเตเบิลคอยน์นอกประเทศอาจไม่ละเมิดกฎหมายท้องถิ่น
กรณีตัวอย่างล่าสุดคือบริษัทท่องเที่ยวทริปซี(Tripzy) ในประเทศจอร์เจีย ซึ่งได้เริ่มรองรับการชำระเงินด้วย *ยูเอสดีที(USDT)* ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ผ่านระบบโครงสร้างพื้นฐานของซิตี้เพย์(CityPay) เปิดทางให้ลูกค้าต่างชาติสามารถชำระเงินสินค้าท่องเที่ยวได้ด้วยคริปโต ทริปซีกล่าวว่า “เรานำระบบชำระเงินด้วยคริปโตมาใช้เพื่อมอบอิสระและความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะนักเดินทางที่มีข้อจำกัดในการใช้สกุลเงินประจำชาติ หรือผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมแบบเร่งด่วน”
จอร์เจียถือเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากรัสเซียและตุรกี แม้ทั้งสองประเทศจะห้ามคริปโตในประเทศ แต่กฎหมายยังไม่ได้กำหนดชัดว่าการใช้เหรียญเช่น *ยูเอสดีที(USDT)* ในต่างประเทศจะผิดกฎหมายหรือไม่ ส่งผลให้หลายฝ่ายมองว่าการใช้คริปโตของนักท่องเที่ยวในจอร์เจียอยู่ใน ‘พื้นที่สีเทา’ ทางกฎหมาย และไม่น่าจะนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายที่รุนแรง
ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่าการชำระเงินด้วยคริปโตจะมีแนวโน้มขยายตัวสู่ภาคธุรกิจระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ ‘*ทรัมป์*’ ดำรงตำแหน่งอีกครั้ง พร้อมท่าทีที่เปิดรับต่ออุตสาหกรรมคริปโต ซึ่งอาจส่งเสริมให้สภาวะแวดล้อมเชิงนโยบายในระดับโลกเอื้อต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต
ความคิดเห็น 0