บิตคอยน์(BTC) ร่วงลงในช่วงเช้าของวันที่ 5 ตามเวลาท้องถิ่นในตลาดเอเชีย หลังจากเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่อง แม้ก่อนหน้านี้จะดีดตัวขึ้นแตะ 112,600 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.63 ล้านบาท) แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาระดับได้ และร่วงลงสู่ระดับ 110,932 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.18 ล้านบาท) ตลาดยังคงมีแรงซื้อจากนักลงทุนระยะสั้นที่มองว่าราคานี้คือ ‘จุดเข้าซื้อ’ พร้อมเร่งเปิดสถานะด้วยเลเวอเรจ อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญอยู่ที่ระดับ **112,000 ดอลลาร์ (ราว 15.56 ล้านบาท)** ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น ‘แนวต้านเชิงเทคนิค’ ที่มีนัยสำคัญ
หนึ่งในปัจจัยที่กดดันราคาคือข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์ รายงานการจ้างงานจาก ADP เมื่อวันที่ 4 ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานใหม่ในเดือนสิงหาคมอยู่ที่เพียง 54,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 75,000 ตำแหน่งอย่างชัดเจน ส่งผลให้ทั้งตลาดการเงินแบบดั้งเดิมและคริปโตเกิดความผันผวนตาม โดยเฉพาะ ‘บิตคอยน์’ ที่เทรดอยู่ใกล้แนวรับทางเทคนิค ทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องและกลายเป็นแรงกดดันระยะสั้น
ความสนใจของนักลงทุนเริ่มหันไปสู่รายงานการจ้างงานของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันที่ 6 ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่า ‘ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง หรือเข้าสู่ภาวะชะลอตัว’ ตามข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงแรงงานสหรัฐ พบว่าจำนวนผู้ว่างงานอยู่ที่ 7.24 ล้านคน มากกว่าจำนวนผู้มีงานทำใหม่ที่ 7.18 ล้านคน นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าในเดือนสิงหาคม การจ้างงานใหม่จะเติบโตเพียง 80,000 ตำแหน่ง หากตัวเลขที่ออกมาต่ำกว่าที่คาด อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม มุมมองของนักลงทุนบิตคอยน์ไม่ได้หยุดอยู่ที่ข้อมูลการจ้างงานเท่านั้น หากข้อมูลดังกล่าวอ่อนแอเกินคาด ก็อาจเป็น ‘สัญญาณ’ ที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ตัดสินใจลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น โดยอ้างอิงจากเครื่องมือ ‘FedWatch’ ของ CME Group พบว่า **มีโอกาสถึง 97.6% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้** ซึ่งอาจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคาบิตคอยน์ให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ความคิดเห็น: สำหรับนักเทรดที่รอจังหวะรีบาวด์ การลดดอกเบี้ยถือเป็นวิวัฒนาการเชิงบวกอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐในปีหน้าและ *โอกาสในการกลับมาของประธานาธิบดีทรัมป์* ก็ถูกจับตามองเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อผนวกกับประเด็นดอกเบี้ยสูงและดอลลาร์แข็ง อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กดดันราคาในระยะสั้น สถานการณ์ปัจจุบันจึงอาจเข้าสู่ช่วงที่ตลาดตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจและสัญญาณจากเฟดอย่างรุนแรงมากกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ
ความคิดเห็น 0