คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) กำลังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงแนวทางการกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโตครั้งใหญ่ โดย พอล แอทกินส์(Paul Atkins) ประธาน SEC คนใหม่ เปิดเผยกับ Financial Times เมื่อวันที่ 24 ว่า SEC จะหันหลังให้กับแนวทางเดิมที่เน้น ‘การบังคับใช้กฎหมายก่อน’ และมุ่งสู่การกำกับดูแลที่ ‘มีความโปร่งใส คาดการณ์ได้ และเน้นขั้นตอนมากขึ้น’ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนจากยุคของ แกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) ที่มีท่าทีแข็งกร้าวต่อวงการคริปโต
แอทกินส์กล่าวว่า จากนี้ไปบริษัทคริปโตในสหรัฐฯ จะสามารถรับรู้ล่วงหน้าได้เมื่อตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี โดย SEC จะเปลี่ยนแนวทางสู่การส่ง ‘หนังสือแจ้งเตือนล่วงหน้า’ และเปิดโอกาสให้มีช่วงเวลาการตอบรับที่กินเวลาหลายเดือน ต่างจากอดีตที่การดำเนินคดีมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันแม้จะเป็นเพียง ‘การละเมิดด้านเทคนิค’ ก็ตาม เขาชี้ว่า “ยุคของการตรวจสอบแบบเคาะประตูโดยไม่แจ้งล่วงหน้าได้จบลงแล้ว” พร้อมย้ำว่า “หากเป็นการฝ่าฝืนทางเทคนิค ควรมีการแจ้งเตือนและเวลาในการแก้ไขให้เหมาะสม”
ในช่วงที่เกนส์เลอร์ดำรงตำแหน่ง SEC ได้เปิดฉากดำเนินคดีต่อบริษัทคริปโตรายใหญ่หลายราย เช่น ริปเปิล(Ripple Labs), เทอร์ราฟอร์ม แลบส์(Terraform Labs), ไบแนนซ์(Binance), คอยน์เบส(Coinbase) และ คราเคน(Kraken) ซึ่งแต่ละกรณีล้วนสร้างความเสียหายทางกฎหมายมหาศาลให้กับอุตสาหกรรม โดยมี ‘ค่าธรรมเนียมกฎหมาย’ รวมกันนับหมื่นล้านบาท ความเห็นของแอทกินส์ชี้ว่าการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะนี้ “ขาดหลักฐานและไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่บริษัทในวงการตอบโต้รัฐบาลรุนแรง เขายังเสนอให้มี ‘ช่วงเวลาผ่อนผันอย่างน้อย 6 เดือน’ เพื่อให้บริษัทมีเวลาปรับตัวก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับใช้
การเปลี่ยนแปลงนโยบายล่าสุดนี้ ถือเป็นสัญญาณบวกต่ออุตสาหกรรมคริปโตและสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรวม โดยเฉพาะประเด็นที่แอทกินส์ระบุว่า ‘ส่วนใหญ่ของคริปโตไม่ได้เข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์’ อีกทั้งยังแสดงจุดยืนว่า โทเคนที่อิงกับหุ้นหรือพันธบัตรควรได้รับสิทธิทางกฎหมายเช่นเดียวกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ความเห็นเช่นนี้ถูกมองว่าจะสร้าง ‘ทิศทางใหม่’ ให้กับข้อถกเถียงเรื่อง ‘สถานะทางกฎหมายของสินทรัพย์ดิจิทัล’ ที่ยืดเยื้อมายาวนาน
กระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังถูกเชื่อมโยงกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้ โดยมีความเป็นไปได้สูงว่าจะนำไปสู่การปรับนโยบายระดับชาติที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมคริปโตมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงบทบาทของทรัมป์ที่มีข่าวเชื่อมโยงกับสินทรัพย์ดิจิทัลมาโดยตลอด ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้จึงอาจมีผลต่อ *ความเชื่อมั่นของตลาด* อย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาที่การเมืองและเทคโนโลยีกำลังไขว้กันอย่างเข้มข้น
ความคิดเห็น 0