แพลตฟอร์มชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์ 'อินฟินิ'(Infini) ถูกแฮ็กสูญเงินกว่า 50 ล้านดอลลาร์
อินฟินิ (Infini) แพลตฟอร์มชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์ ถูกแฮ็กสูญเสียทรัพย์สินไปกว่า 50 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,800 ล้านบาท) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระบุว่าการโจมตีครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับนักพัฒนาที่เคยมีส่วนร่วมในโครงการและยังคงถือครองสิทธิ์การจัดการระบบ
บริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไซเวอร์ส (Cyvers) เปิดเผยว่าผู้โจมตีเคยเป็นนักพัฒนาสมาร์ตคอนแทร็กต์ของอินฟินิ และใช้สิทธิ์การเข้าถึงที่ยังคงอยู่เพื่อดำเนินการแฮ็ก ระบบถูกเจาะโดยอาศัย 'โทนาโด แคช' (Tornado Cash) ในการล้างเงินจำนวน 1 อีเธอเรียม (ETH) ก่อนที่จะใช้สมาร์ตคอนแทร็กต์ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเพื่อขโมยเงิน 49.52 ล้านดอลลาร์ในรูปของยูเอสดีคอยน์ (USDC)
หลังจากนั้นผู้โจมตีได้ทำการแปลงเงิน USDC ที่ถูกขโมยไปเป็น 'ได' (DAI) ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่ไม่มีองค์กรกลางสามารถอายัดเงินได้ ทำให้การติดตามธุรกรรมเป็นไปได้ยากขึ้น จากนั้นจึงแลก DAI เป็น 17,696 อีเธอเรียม ก่อนจะโอนไปยังกระเป๋าเงินอีกใบที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม อินฟินิไม่ได้สั่งระงับการถอนเงินทันทีหลังเหตุการณ์เกิดขึ้น คริสเตียน หลี่ (Christian Li) ผู้ร่วมก่อตั้งอินฟินิ ได้ออกมาแถลงผ่านโซเชียลมีเดีย X ว่าทางบริษัทจะชดเชยความเสียหายให้กับผู้ใช้งานอย่างเต็มที่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด พร้อมทั้งกล่าวถึงการถอนเงินจำนวน 500,000 ดอลลาร์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากเหตุการณ์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้
ขณะเดียวกัน ทีมงานของอินฟินิรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า คริสติน (Christine) เคยโพสต์ข้อความ (ซึ่งปัจจุบันถูกลบไปแล้ว) ว่าพวกเขาทราบตัวตนของแฮ็กเกอร์และกำลังดำเนินการทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อถูก CoinTelegraph สอบถาม คำตอบที่ได้รับคือ “ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน”
การโจมตีอินฟินิเกิดขึ้นไม่นานหลังจากเหตุการณ์แฮ็กมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ที่กระดานเทรดคริปโต 'ไบบิต' (Bybit) ซึ่งแม้จะตกเป็นเป้าหมายของแฮ็กเกอร์ แต่ไบบิตยังคงเปิดให้ถอนเงินและสามารถรักษาสภาพคล่องได้โดยการกู้เงินจากพันธมิตรในอุตสาหกรรม เบน โจว (Ben Zhou) ซีอีโอของไบบิต กล่าวเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ว่าสามารถกู้คืนเหรียญอีเธอเรียมที่สูญเสียไปจากการแฮ็กได้ทั้งหมด
ด้านนักวิเคราะห์บล็อกเชน แซ็กซ์เอ็กซ์บีที (ZachXBT) ตั้งข้อสังเกตว่าการโจมตีไบบิตอาจเป็นฝีมือของ 'ลาซารัส กรุ๊ป' (Lazarus Group) กลุ่มแฮ็กเกอร์จากเกาหลีเหนือ และยังเชื่อมโยงกับการแฮ็กแพลตฟอร์มคริปโตอื่นๆ อย่าง 'เฟมเม็กซ์' (Phemex) และ 'บิงเอ็กซ์' (BingX) ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมอีกด้วย
ความคิดเห็น 0